1.
ความหมายโดยทั่วไปของกฎหมายคืออะไร
1. ข้อบังคับของรัฐ
2.
บรรทัดฐานในสังคม
3.
จารีตประเพณี
4. บรรทัดฐานที่ศาลใช้ในการตัดสินคดี
2.
ข้อใดคือลักษณะทั่วไปของกฎหมาย
1.
ข้อบังคับซึ่งมุ่งหมายให้มนุษย์เป็นพลเมืองดี
2.
ข้อบังคับซึ่งกำหนดไว้เพื่อให้มนุษย์กระทำในสิ่งที่ถูกต้อง
3.
ข้อบังคับซึ่งกำหนดให้กระทำหรืองดเว้นกระทำอย่างใดอย่างหนึ่ง
4. ข้อบังคับกำหนดความประพฤติของมนุษย์เพื่อให้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ
3. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะโดยทั่วไปของกฎหมาย
1.
กฎหมายจะต้องเป็นกฎเกณฑ์ที่จะต้องบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษรอย่างชัดแจ้ง
2.
กฎหมายจะต้องเกิดจากหรือเป็นกฎเกณฑ์ที่ผู้มีอำนาจในการปกครองสังคมยอมรับ
3.
กฎหมายเป็นกฎเกณฑ์ที่ควบคุมความประพฤติของบุคคลในสังคม
4.
กฎหมายจะต้องมีข้อบังคับที่เป็นผลร้ายต่อผู้ที่ฝ่าฝืน
4. ข้อใดไม่ใช่องค์ประกอบของกฎหมาย
1.
องค์ประกอบต้องเป็นข้อบังคับของรัฐ
2.
กฎหมายต้องมีบทลงโทษ
3. กฎหมายต้องมีสภาพบังคับ
4. กฎหมายเป็นข้อกำหนดความประพฤติและจิตใจของมนุษย์
5. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะทั่วไป
1.
ข้อบังคับซึ่งมาจากบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ผู้มีอำนาจสูงสุดในบ้านเมือง
2.
ข้อบังคับซึ่งถ้าผู้ใดไม่ประพฤติตามย่อมได้รับผลร้ายอย่างใดอย่างหนึ่ง
3.
ข้อบังคับซึ่งใช้ควบคุมการกระทำของมนุษย์ ไม่ครอบคลุมถึงการกระทำของสัตว์
4.
ข้อบังคับซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการกล่อมเกลาจิตใจและมีบทลงโทษเมื่อคิดที่จะฝ่าฝืน
6. ข้อใดไม่ใช่ลักษณะสำคัญของกฎหมาย
1. จะต้องมีสภาพบังคับ
2.
จะต้องมีกระบวนการในการจัดทำกฎหมายศาล
3. จะต้องมีผลบังคับเป็นการทั่วไป
4. จะต้องมีประสิทธิภาพในการบังคับที่ดีกว่ากลไกอื่นๆของสังคม
7. วัตถุประสงค์ที่สำคัญของกฎหมายคือข้อใด
1. การควบคุมความประพฤติของคนในสังคม
2. การประสานประโยชน์
3. การพัฒนาสังคมให้ก้าวหน้า
4. การระงับข้อพิพาท
8.
ลักษณะเด่นของกฎหมายคือข้อใด
1.
การป้องกัน
2.
การกำหนดพฤติกรรม
3. การบังคับ
4.
การลงโทษ
9.
จุดมุ่งหมายหลักของการออกกฎหมาย เป็นเรื่องเกี่ยวกับข้อใด
1.
บุคคล ความประพฤติ หน้าที่
2. บุคคล
สิทธิ หน้าที่
3.
ประชาชน สิทธิ หน้าที่
4.
ประชาชน ความประพฤติ การลงโทษ
10.
ข้อใดแสดงว่ากฎหมายแตกต่างจากศีลธรรมมากที่สุด
1.
กฎหมายเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรแต่ศีลธรรมไม่เขียนเป็นลายลักษณ์อักษร
2. กฎหมายควบคุมมนุษย์ทางกาย แต่ศีลธรรมควบคุมมนุษย์ทางกายและจิตใจ
3.
กฎหมายมีบทกำหนดโทษผู้ฝ่าฝืนแต่ศีลธรรมไม่มีบทกำหนดโทษผู้ฝ่าฝืน
4.
กฎหมายเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นจากความจำเป็นทางสังคมแต่จะได้ทำเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นจากธรรมชาติ
11.
ข้อแตกต่างที่สำคัญประการหนึ่งระหว่างกฎหมายและจารีตประเพณีคืออะไร
1.
กฎหมายมีสภาพบังคับเสมอแต่จารีตประเพณีไม่มีสภาพบังคับ
2.
กฎหมายเกิดจากรัฐเป็นผู้กำหนดขึ้นแต่จารีตประเพณีเกิดจากการปฏิบัติของประชาชน
3.
กฎหมายตราขึ้นโดยรัฐสภาแต่จารีตประเพณีตราขึ้นเองโดยสังคม
4.
กฎหมายมีการกำหนดความผิดแต่จารีตประเพณีไม่มีการกำหนดความผิด
12.
กฎหมายมีลักษณะแตกต่างจากกฎเกณฑ์ข้อบังคับในสังคมอื่นๆคืออะไร
1.
เป็นกฎเกณฑ์ที่ผู้ฝากเงินต้องได้รับผลร้ายตามมา
2.
เป็นกฎเกณฑ์ที่มีการบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร
3.
เป็นกฎเกณฑ์ที่ผู้ปฏิบัติตามยอมทำด้วยความสมัครใจ
4. เป็นกฎเกณฑ์ที่บุคคลมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามโดยไม่มีทางเลือก
13.
ลักษณะใดที่ทำให้กฎหมายแตกต่างจากกฎและระเบียบอื่นๆ
1. เป็นกฎเกณฑ์ที่มีสภาพบังคับ
2.
เป็นกฎเกณฑ์ที่ทุกคนจะต้องปฏิบัติตาม
3. เป็นกฎเกณฑ์ที่ใช้ควบคุมความประพฤติของมนุษย์
4. เป็นกฎเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นเพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม
14.
การกระทำในข้อใดที่ผิดศีลธรรมแต่ไม่เป็นความผิดอาญา
1. การดื่มสุราจนเมามายในงานเลี้ยง
2.
การจอดรถในที่ห้ามจอด
3.
การขับรถเร็วเกินอัตรา
4.
การมีอาวุธปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต
15.
คำกล่าวที่ว่า "ความไม่รู้กฎหมายไม่เป็นข้อแก้ตัว" หมายความว่าอย่างไร
1.
ทุกคนจำเป็นต้องรู้กฎหมาย
2.
กฎหมายบังคับให้ทุกคนรู้กฎหมาย
3.
ถึงไม่รู้กฎหมายก็ไม่เป็นไรแต่อย่าทำผิดกฎหมายก็แล้วกัน
4.
เมื่อมีการทำผิดกฎหมายจะอ้างว่าไม่รู้ว่ามีกฎหมายบัญญัติไว้เช่นนั้นไม่ได้
16.
ข้อใดเกี่ยวกับความไม่รู้กฎหมายอย่างถูกต้อง
1.
ความไม่รู้กฎหมายอาจเป็นความผิดในบางครั้ง
2. ความไม่รู้กฎหมายทำให้รับโทษน้อยลง
3. ความไม่รู้กฎหมายเป็นข้อแก้ตัวให้พ้นผิดได้
4.
ความรู้กฎหมายย่อมใช้อ้างเหตุผลผิดได้
17.
บุคคลจะยกความไม่รู้กฎหมายขึ้นแก้ตัวให้พ้นผิดได้เพียงใด
1.
แก้ตัวว่าไม่มีความผิดได้
2.
แก้ตัวยกเว้นโทษได้
3. แก้ตัวให้พ้นผิดไม่ได้
4.
แก้ตัวไม่ต้องรับผิดชอบได้
18.
ข้อใดมีความหมายตรงกับลักษณะของกฎหมายที่ว่ากฎหมายใช้ได้เสมอไป
1. กฎหมายนอนหลับแต่ไม่ตาย
2.
กฎหมายจะนำมาใช้ได้เมื่อไม่ขัดหรือแย้งกับกฎหมายเก่า
3.
กฎหมายสามารถใช้บังคับได้จนกว่าจะมีกฎหมายใหม่
4.
กฎหมายประกาศใช้แล้วสามารถบังคับใช้กับทุกคน ทุกสถานที่เท่าเทียมกัน
19.
บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมายและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกันข้อใดมีความหมายใกล้เคียงกับข้อความข้างต้นมากที่สุด
1.
ลูกชายและลูกสาวจะต้องได้รับเงินค่าขนมไปโรงเรียนเท่ากันและได้รับความคุ้มครองจากพ่อแม่เท่าๆกัน
2.
บุคคลทุกคนมีสิทธิ์เป็นทหารได้รับการตรวจคัดเลือก
3.
แรงมีสิทธิเรื่องรถรับส่งของโรงเรียนได้เท่าเท่ากับขาว
4. รัฐจะใช้กฎหมายแก่บุคคลทุกคนเท่าเทียมกัน
20.
ข้อความใดที่กล่าวถึงกฎหมายไม่ถูกต้อง
1.
กฎหมายคือสิ่งที่ศาลใช้ในการตัดสิน
2.
กฎหมายต้องมีสภาพบังคับและบทลงโทษ
3.
กฎหมายเป็นข้อบังคับความประพฤติพลเมือง
4. กฎหมายเป็นข้อบังคับของประเทศซึ่งดูประเทศได้มาจากพลเมือง
21.
การปฏิรูปกฎหมายและระบบศาลของไทยเกิดขึ้นอย่างจริงจังในรัชสมัยใด
1.
รัชกาลที่ 4
2. รัชกาลที่ 5
3.
รัชกาลที่ 6
4.
รัชกาลที่ 7
22.
ประมวลกฎหมายที่ได้ชื่อว่าเป็นประมวลกฎหมายที่ทันสมัยฉบับแรกของไทยคือฉบับใด
1. กฎหมายลักษณะอาญารศ. 127
2.
กฎหมายตราสามดวง
3.
กฎหมายลักษณะผัวเมีย
4.
ประมวลกฎหมายอาญา
23.
พินัยกรรมข้อใดไม่อาจดำเนินการได้ตามกฎหมาย
1.
ยกเงินให้บุตรที่ไม่บรรลุนิติภาวะ
2. ยกบ้านให้แมวตัวโปรด
3.
ยกที่ดินให้สมาคมนักเรียนเก่า
4.
ยกตึกแถวให้คนวิกลจริต
24.
ประโยคต่อไปนี้"ผู้ใดวางสิ่งของกีดขวางบนทางเท้า..........."
ยังไม่มีลักษณะเป็นกฎหมายอาญาจะต้องเติมข้อความในข้อใดจึงจะทำให้ประโยคดังกล่าวมีลักษณะเป็นกฎหมายอาญาได้
1.
ต้องใช้ต้องชดใช้ค่าเสียหายห้าร้อยบาท
2.
ต้องระวางโทษจำคุก
3. ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท
4.
ต้องระวางโทษกักกันไม่เกินหนึ่งเดือน
25.
คำอธิบายเกี่ยวกับกฎหมายข้อใดไม่ถูกต้อง
1.
กฎหมายเกิดจากผู้มีอำนาจในรัฐกฎหมายเกิดจากผู้มีอำนาจสูงสุดในรัฐที่เรียกว่ารัฏฐาธิปัตย์
2.
กฎหมายมีผลบังคับใช้จนกว่าจะยกเลิก
3.
กฎหมายเป็นกฎที่ประชาชนต้องปฏิบัติตาม
4.
กฎหมายเป็นกฎที่รวมถึงกฎเกณฑ์ทางศาสนาและศีลธรรม
26.
กฎหมายอิสลามนำมาใช้ในเขตสี่จังหวัดภาคใต้แทนประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในส่วนที่ว่าด้วยเรื่องอะไร
1.
หนี้และทรัพย์สิน
2.
หลักทั่วไปและเอกเทศสัญญา
3. ครอบครัวและมรดก
4.
พินัยกรรมและการสมรส
27.
ระบบกฎหมายที่ใช้อยู่ในประเทศไทยคือข้อใด
1.
ระบบกฎหมายมหาชน
2. ระบบประมวลกฎหมาย (civil law)
3.
ระบบกฎหมายจารีตประเพณี (common law)
4.
ระบบกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
28.
ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับระบบกฎหมายคอมมอนลอว์
1.
ผู้พิพากษาเป็นผู้สร้างกฎหมาย
2. เป็นระบบที่ไม่มีกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร
3.
ประเทศที่เป็นต้นกำเนิดของระบอบนี่คือประเทศอังกฤษ
4.
จารีตประเพณีและคำพิพากษาของศาลเป็นที่มาของกฎหมาย
29.
ลักษณะสำคัญของกฎหมายสกุลโรมาโน-เยอรมันนิค คือข้อใด
1.
ยึดถือจารีตประเพณีเป็นใหญ่
2.
ยึดถือคำพิพากษาเป็นใหญ่
3. ยึดถือตัวบทกฎหมายเป็นใหญ่
4.
ยึดถือผลประโยชน์ของสังคมเป็นใหญ่
30.
ข้อใดเป็นตัวอย่างของกฎหมายจารีตประเพณีในประเทศไทย
1. การชกมวยตามกติกา
2.
การแต่งชุดดำไปงานศพ
3.
การที่แพทย์ผ่าตัดคนไข้
4.
การที่บิดามารดามีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูบุตร
31.
หลักที่ว่า"แพทย์ทำการผ่าตัดคนไข้ไม่มีความผิดฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น"จะถือว่าเป็นกฎหมายหรือที่มาของกฎหมายซึ่งศาลใช้ในการตัดสินคดีได้หรือไม่
1.
เป็นกฎหมาย เพราะสอดคล้องกับ
หลักศีลธรรมที่แพทย์ควรช่วยเหลือคนไข้
2. เป็นกฎหมาย
เพราะเป็นหลักจารีตประเพณีที่ปฏิบัติติดต่อกันมาเช่นนั้น
3. ไม่เป็นกฎหมาย
เพราะเป็นเรื่องความพอใจที่คนไข้ทำข้อตกลงกับแพทย์ยกเว้นความผิดกันเอง
4. ไม่เป็นกฎหมาย
เพราะไม่ใช่ข้อบังคับของรัฐที่ออกโดยรัฐสภา
32.
กฎหมายจารีตประเพณีหมายถึงอะไร
1.
กฎหมายจารีตประเพณีท้องถิ่นที่ยอมรับกันเฉพาะท้องถิ่นนั้น
2.
กฎหมายจารีตประเพณีระหว่างประเทศที่สหประชาชาติประมวลเป็นกฎหมาย
3.
จารีตประเพณีที่ปฏิบัติมานานและประมวลเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรแล้ว
4. กฎหมายที่ไม่ได้บัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษรแต่ประชาชนยึดถือปฏิบัติเป็นกฎหมาย
33.
ข้อใดไม่ใช่ลักษณะสำคัญของกฎหมายจารีตประเพณี
1.
กำหนดแบบแผนความประพฤติของมนุษย์
2. เป็นคำสั่งของรัฏฐาธิปัตย์
3.
เมื่อฝ่าฝืนต้องได้รับโทษ
4.
ใช้บังคับต่อพลเมืองทั่วไป
34.
ข้อใดเป็นจารีตประเพณีที่ไม่มีการบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษรแต่ได้รับการยอมรับประพฤติปฏิบัติตามกันมานานจนเป็นที่ยอมรับกันว่ามีความศักดิ์สิทธิ์เสมอด้วยกฎหมายในประเทศไทย
1.
การที่คนในสังคมสามารถพาปศุสัตว์ของตนผ่าน
หรือเข้าไปในที่ดินของผู้อื่นซึ่งมิได้กันเพื่อให้ปศุสัตว์กินหญ้า
2.
การที่นักมวยไทยได้ไปชกมวยสากลแล้วใช้เท้าเตะอีกฝ่ายจนถึงแก่ความตาย
3. การที่บิดามารดาเครียดบุตรตามสมควรเพื่ออบรมสั่งสอนให้บุตรเป็นคนดี
4.
การที่แพทย์ตัดแขนขาคนไข้เพื่อช่วยชีวิตโดยไม่ได้รับความยินยอมจากญาติของคนไข้พ่อไม่อาจรอช้าได้อีกต่อไป
35.
เมื่อไม่มีบทกฎหมายที่จะยกมาปรับคดีกฎหมายไทยให้นำสิ่งใดมาปรับกับคดีแทน
1. จารีตประเพณีของท้องถิ่น
2.
คำพิพากษาของศาล
3.
ศีลธรรมจรรยา
4.
วิถีชาวบ้าน
36.
การอุดช่องว่างของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ให้ใช้กฎหมายตามลำดับก่อนหลังในข้อใด
1. จารีตประเพณี การใช้กฎหมายที่ใกล้เคียง
หลักกฎหมายทั่วไป
2.
จารีตประเพณี หลักกฎหมายทั่วไป การใช้กฎหมายที่ใกล้เคียง
3. หลักกฎหมายทั่วไป การใช้กฎหมายที่ใกล้เคียง จารีตประเพณี
4.
หลักกฎหมายทั่วไป จารีตประเพณี การใช้กฎหมายที่ใกล้เคียง
37.
การนำหลักจารีตประเพณีแห่งท้องถิ่นมาใช้บังคับได้ในกรณีใด
1.
ไม่สามารถของความมุ่งหมายแห่งบทบัญญัติที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งในเรื่องนั้นได้
2. ไม่มีกฎหมายบัญญัติในเรื่องนั้นไว้
3.
ไม่มีบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งบัญญัติในเรื่องนั้นไว้
4.
มีหลักกฎหมายทั่วไปบัญญัติในเรื่องนั้นไว้
38.
การใช้บทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งนั้นในกฎหมายไทยยอมรับหรือไม่
1. ไม่ยอมรับ เพราะจะไม่เป็นธรรมกับผู้ไม่รู้
2. ไม่ยอมรับ
เพราะกฎหมายจะบังคับได้ต้องมีบัญญัติไว้โดยตรง
3. ไม่ยอมรับ เพราะกฎหมายต้องใช้ตามตัวอักษร
4. ยอมรับ โดยบัญญัติไว้ในการอุดช่องว่างในกฎหมายแพ่ง
39.
การแบ่งประเภทกฎหมายตามหน้าที่ของกฎหมายคือข้อใด
1.
กฎหมายเอกชน/ กฎหมายมหาชน
2. กฎหมายสารบัญญัติ/ กฎหมายวิธีสบัญญัติ
3.
รัฐธรรมนูญ/พระราชบัญญัติ/พระราชกฤษฎีกา
4.
กฎหมายแพ่ง/กฎหมายอาญา/กฎหมายปกครอง
40.
ประเภทของกฎหมายในข้อใดเกิดจากการแบ่งประเภทตามลักษณะความสัมพันธ์ของคู่กรณี
1.
กฎหมายอาญาและกฎหมายแพ่ง
2.
กฎหมายสารบัญญัติและกฎหมายวิธีสบัญญัติ
3.
กฎหมายลายลักษณ์อักษรและกฎหมายจารีตประเพณี
4. กฎหมายเอกชนกฎหมายมหาชนและกฎหมายระหว่างประเทศ
41.
การแบ่งกฎหมายออกเป็นกฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญานั้นเป็นการแบ่งโดยยึดถืออะไรและเป็นเกณฑ์ในการแบ่ง
1.
เนื้อหาสาระของกฎหมาย
2.
บทบาทของกฎหมาย
3.
ลักษณะของกฎหมาย
4. สภาพบังคับ
42.
กฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างพลเมืองกับพลเมืองด้วยกันหรือความสัมพันธ์ระหว่างพลเมืองกับรัฐโดยรัฐรวมอยู่ในฐานะเท่าเทียมกับพลเมืองคือข้อใด
1. กฎหมายเอกชน
2.
กฎหมายพลเรือน
3.
กฎหมายมหาชน
4.
กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง
43. กฎหมายใดควบคุมความสัมพันธ์ระหว่างเอกชนกับหน่วยงานของรัฐที่เป็นนิติบุคคล
1. กฎหมายอาญา
2. กฎหมายปกครอง
3. กฎหมายรัฐธรรมนูญ
4. กฎหมายแพ่งและพาณิชย์
44. กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันมากที่สุดคือข้อใด
1. กฎหมายรัฐธรรมนูญ
2. กฎหมายแพ่ง
3. กฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญา
4. กฎหมายอาญา
45. กฎหมายอะไรได้กำหนดสิทธิหน้าที่และความรับผิดชอบของบุคคล
1. กฎหมายสารบัญญัติ
2. กฎหมายมหาชน
3. กฎหมายวิธีสบัญญัติ
4. กฎหมายเอกชน
46.
กฎหมายบัญญัติว่าผู้ใดเอาทรัพย์ของผู้อื่นหรือที่ผู้อื่นเป็นเจ้าของรวมอยู่แล้วไปโดยทุจริตผู้นั้นกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปีและปรับไม่เกินหกพันบาทกฎหมายดังกล่าวจัดอยู่ในประเภทใด
1. กฎหมายสารบัญญัติ
2.
กฎหมายสบัญญัติ
3.
กฎหมายวิธีสารบัญญัติ
4.
กฎหมายวิธีสบัญญัติ
47.
ประมวลกฎหมายแพ่งพาณิชย์ประมวลกฎหมายอาญาจัดเป็นกฎหมายประเภทใด
1.
กฎหมายมหาชน
2.
กฎหมายตามแบบพิธี
3. กฎหมายสิทธิหน้าที่และความรับผิดชอบของบุคคล
4.
กำหนดวิธีการบังคับให้เป็นไปตามบทบัญญัติของกฎหมายสารบัญญัติ
48.
ข้อใดคือคำอธิบายกฎหมายรัฐธรรมนูญ
1.
กฎหมายมหาชนเพราะจัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
2. กฎหมายมหาชนเพราะเป็นกฎหมายที่จัดความสัมพันธ์ของการใช้อำนาจอธิปไตย
3.
กฎหมายเอกชนเพราะบัญญัติซึ่งสิทธิเสรีภาพและความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกชนบุคคล
4.
กฎหมายเอกชนเพราะเป็นกฎหมายบัญญัติถึงสถานะและความสามารถของประชาชน
49.
ข้อใดไม่ใช่กฎหมายมหาชน
1.
รัฐธรรมนูญ
2. กฎหมายแพ่ง
3.
กฎหมายอาญา
4.
กฎหมายปกครอง
50.
ข้อใดจัดอยู่ในประเภทกลุ่มกฎหมายมหาชน
1. กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ประมวลกฎหมายที่ดิน
2.
กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง กฎหมายว่าด้วยครอบครัวประมวล กฎหมายอาญา
3.
รัฐธรรมนูญ กฎหมายว่าด้วยมรดก กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
4.
รัฐธรรมนูญ ประมวลกฎหมายที่ดิน กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
51. พฤติกรรมใดไม่ได้เกี่ยวข้องกับกฎหมายมหาชน
1. นาย ก
ถูกศาลตัดสินจำคุกเท่าฐานลักทรัพย์ผู้อื่น
2.
รัฐสภาได้ร่วมกันบัญญัติกฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้งซ่อม
3. นาย ค
ได้ฟ้องร้องต่อศาลในกรณีที่ถูกเจ้าหน้าที่กักขังโดยไม่ได้ทำผิดใดๆ
4.
รัฐบาลสหรัฐอเมริกาได้ขอให้ไทยส่งชาวอเมริกาที่ค้ายาเสพติดไปรับโทษในประเทศนั้น
52.
ข้อใดจัดลำดับความสำคัญของกฎหมายลายลักษณ์อักษรของไทยได้ถูกต้อง
1.
รัฐธรรมนูญ/พระราชกำหนด/พระราชกฤษฎีกา/พระราชบัญญัติ/เทศบัญญัติ
2.
รัฐธรรมนูญ/พระราชกฤษฎีกา/พระราชกำหนด/พระราชบัญญัติ/เทศบัญญัติ
3. รัฐธรรมนูญ/พระราชบัญญัติ/พระราชกำหนด/พระราชกฤษฎีกา/เทศบัญญัติ
4.
รัฐธรรมนูญ/พระราชบัญญัติ/พระราชกฤษฎีกา/พระราชกำหนด/เทศบัญญัติ
53.
กฎหมายในข้อใดอยู่ในลำดับศักดิ์ของกฎหมายชั้นเดียวกัน
1. พระราชกฤษฎีกาและพระราชบัญญัติ
2. พระราชบัญญัติและประมวลกฎหมาย
3.
พระราชกำหนดและพระราชกฤษฎีกา
4.
ประมวลกฎหมายและพระราชกฤษฎีกา
54.
ข้อใดแสดงการเรียงลำดับชั้นของกฎหมายได้ถูกต้องที่สุด
1.
รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ พระราชกฤษฎีกา ประมวลกฎหมาย
2. รัฐธรรมนูญ พระราชกำหนด
ประมวลกฎหมาย ประกาศกระทรวง
3. พระราชบัญญัติ
พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง ประกาศกระทรวง
4.
พระราชบัญญัติพระราชกำหนด
ประกาศทบวง ประมวลกฎหมาย
55.
กฎหมายใดมีที่มาแตกต่างจากกฎหมายอื่น
1. ท่าชัยบัญญัติ
2.
พระราชกำหนด
3.
พระราชกฤษฎีกา
4.
กฎกระทรวง
56.
กติกาในการเล่นฟุตบอลกำหนดแนวทางการเล่นฟุตบอลตลอดจนโครงสร้างและผู้เล่นของแต่ละทีมอยากทราบว่ากฎหมายในข้อใดที่ทำหน้าที่คล้ายๆกับกติกาดังกล่าว
1.
พระราชกำหนด
2.
พระราชกฤษฎีกา
3.
พระราชบัญญัติ
4. รัฐธรรมนูญ
57.
กฎหมายในข้อใดกำหนดรูปแบบองค์กรของรัฐกำหนดกลไกในการปกครองและคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพของประชาชน
1. รัฐธรรมนูญ
2.
กฎหมายปกครอง
3.
กฎหมายธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน
4.
กฎหมายบริหารราชการแผ่นดิน
58.
ในกรณีที่บ้านเมืองตกอยู่ในภาวะฉุกเฉินมีความจำเป็นต้องใช้กฎหมายเพื่อรักษาความปลอดภัยของประชาชนอย่างเร่งด่วนรัฐบาลมีอำนาจออกกฎหมายประเภทใดขึ้นใช้ได้
1. พระราชกำหนด
2.
พระราชกฤษฎีกา
3.
พระราชบัญญัติ
4.
กฎกระทรวง
59.
พระราชบัญญัติและพระราชกําหนดมีความคล้ายกันในเรื่องใด
1.
เป็นกฎหมายที่ตราขึ้นโดยฝ่ายบริหาร
2. เป็นระเบียบข้อบังคับใช้ควบคุมการประพฤติปฏิบัติของประชาชน
3.
ก่อนที่จะประกาศใช้ต้องได้รับการพิจารณาอนุมัติจากรัฐสภา
4.
เป็นกฎหมายที่มีลำดับความสำคัญเทียบได้กับประมวลกฎหมาย
60.
ข้อใดเป็นกฎหมายที่ออกโดยฝ่ายบริหาร
1.
พระราชบัญญัติ กฎกระทรวง
พระราชกำหนด
2.
พระราชบัญญัติ กฎกระทรวง
กฎมณเฑียรบาล
3. พระราชกฤษฎีกา กฎกระทรวง พระราชกำหนด
4.
รัฐธรรมนูญ ธรรมนูญการปกครอง ประกาศกระทรวง
61.
ข้อใดไม่ใช่กฎหมายที่ตราขึ้นโดยฝ่ายบริหาร
1.
กฎทบวง
2.
พระราชกำหนด
3.
พระราชกฤษฎีกา
4. พระราชบัญญัติ
62.
กฎหมายชนิดใดไม่ต้องผ่านการพิจารณาของรัฐสภาหรือสภานิติบัญญัติแห่งชาติไม่ว่ากรณีใด
1.
พระราชบัญญัติ
2. พระราชกฤษฎีกา
3.
รัฐธรรมนูญ
4.
พระราชกำหนด
63.
คณะรัฐมนตรีมีอํานาจถวายคำแนะนำการบัญญัติกฎหมายใด
1.
พระราชบัญญัติ
2. พระราชกฤษฎีกา
3.
รัฐธรรมนูญ
4.
กฎทบวง
64.
กฎหมายประเภทใดอยู่ในลำดับศักดิ์ที่ต่ำที่สุด
1. พระราชกฤษฎีกา
2.
พระราชกำหนด
3. พระราชบัญญัติ
4.
ประมวลกฎหมาย
65.
กฎหมายใดที่มีลักษณะเป็นกฎหมายชั่วคราว
1. พระราชกำหนด
2.
กฎกระทรวง
3.
พระราชกฤษฎีกา
4.
เทศบัญญัติ
66.
ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับผลการบังคับใช้พระราชบัญญัติ
1. เมื่อประกาศใช้บังคับแล้ว
จะสิ้นผลไปก็ต่อเมื่อมีพระราชบัญญัติออกมายกเลิก
2.
เมื่อประกาศใช้บังคับแล้ว
จะสิ้นผลไปก็ต่อเมื่อมีพระราชบัญญัติฉบับใหม่ในเรื่องเดียวกันออกมาใช้บังคับ
3.
เมื่อประกาศใช้บังคับแล้ว จะสิ้นผลไปต่อเมื่อมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญใหม่และพระราชบัญญัติฉบับดังกล่าวขัดหรือแย้งกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
4. เมื่อประกาศใช้บังคับแล้ว ปรากฏว่าไม่เคยมีการบังคับใช้ในทางปฏิบัติติดต่อกันเป็นเวลานานทำให้สิ้นผลไปโดยปริยาย
67.
ประกาศของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 42
ได้ยกเลิกบางส่วนของพระราชบัญญัติฉบับหนึ่ง ดังนั้นประกาศฯ
ดังกล่าวจะมีฐานะเท่ากับกฎหมายใด
1. พระราชบัญญัติ
2.
มติของคณะรัฐมนตรี
3.
พระราชกฤษฎีกา
4.
กฎกระทรวง
68.
ข้อใดคือข้อที่แสดงลักษณะสำคัญของกฎกระทรวง
1.
ตราขึ้นโดยรัฐมนตรีตามสภาพงานในแต่ละกระทรวง
2. ตราขึ้นโดยรัฐมนตรีตามกฎหมายหลักของแต่ละกระทรวง
3.
ตราขึ้นโดยอนุกรรมการข้าราชการพลเรือนประจำกระทรวง
4.
ตราขึ้นโดยปลัดกระทรวงตามความเห็นชอบของที่ประชุมกระทรวง
69.
การที่กรุงเทพฯ ประกาศห้ามรถที่มีคนนั่งเพียงคนเดียวผ่านถนนที่มีมลพิษมากถ้าจะให้มีผลบังคับต้องตราเป็นกฎหมายใด
1.
กฎจราจร
2.
เทศบาล
3. กฎกระทรวง
4.
ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร
70.
กฎหมายปกครองเป็นกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องใดเป็นสำคัญ
1.
การใช้อำนาจอธิปไตย
2. การจัดระเบียบบริหารราชการ
3.
การถ่วงดุลอำนาจทางการเมือง
4.
การคุ้มครองสิทธิของประชาชน
71.
ข้อใดจัดว่าเป็นกฎหมายปกครอง
1.
กฎหมายอาญา
2.
กฎหมายมหาชน
3.
กฎหมายรัฐธรรมนูญ
4. กฎหมายระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน
72.
กฎหมายที่ต้องตีความโดยเคร่งครัดคือกฎหมายใด
1.
กฎหมายรัฐธรรมนูญ
2.
กฎหมายแพ่ง
3. กฎหมายอาญา
4.
กฎหมายมหาชน
73.
ข้อใดไม่ใช่กฎหมายวิธีสบัญญัติ
1. กฎหมายอาญา
2.
กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
3.
กฎหมายลักษณะพยาน
4.
พระธรรมนูญศาลยุติธรรม
74.
ข้อใดไม่ใช่กฎหมายสารบัญญัติ
1.
ประมวลกฎหมายที่ดิน
2.
ประมวลกฎหมายรัษฎากร
3.
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
4. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
75.
องค์กรใดในระบบการปกครองของไทยไม่มีหน้าที่ออกกฎหมาย
1.
วุฒิสภา
2.
สภาเทศบาล
3.
คณะรัฐมนตรี
4. ศาลรัฐธรรมนูญ
76.
องค์กรใดมีหน้าที่ควบคุมและดำเนินการจัดการที่มีการออกเสียงประชามติตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
1.
ศาลรัฐธรรมนูญ
2.
ศาลปกครอง
3.
กระทรวงมหาดไทย
4. คณะกรรมการการเลือกตั้ง
77.
ข้อใดไม่มีสภาพบังคับที่เด็ดขาดจริงจัง
1.
ประมวลกฎหมายรัษฎากร
2.
ประมวลกฎหมายที่ดิน
3.
ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
4. ประมวลวิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกา
78.
การเรียกเบี้ยปรับวันละสองพันบาท จนกว่าจะปฏิบัติตามสัญญาถือว่าเป็นอะไร
1.
โทษทางกฎหมายมหาชน
2. สภาพบังคับทางแพ่ง
3.
กฎหมายเอกชน
4.
ประเพณีทางการการค้าแพ่งและพาณิชย์
79.
ได้ปกติแล้วกฎหมายจะสิ้นผลบังคับเมื่อใด
1.
ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี
2.
ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าขัดกับรัฐธรรมนูญ
3.
ออกพระราชกฤษฎีกายกเลิกพระราชบัญญัตินั้น
4. มีการออกกฎหมายใหม่มายกเลิกกฎหมายนั้น
80.
ข้อใดคือสถานะของคำพิพากษาศาลฎีกาในระบบกฎหมายไทย
1.
เป็นกฎหมายจารีตประเพณี
2.
เป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษร
3.
ไม่เป็นกฎหมายแต่ผูกมัดว่าสารล่างต้องปฏิบัติตาม
4. ไม่เป็นกฎหมายแต่จงใจศาลร้างให้อาจปฏิบัติตามได้
81.
การจัดลำดับศักดิ์ของกฎหมายมีประโยชน์อย่างไร
1.
รู้จักความสำคัญของกฎหมายต่างๆ
2.
เรียงลำดับความสำคัญของกฎหมายได้อย่างถูกต้อง
3.
พิจารณาได้ว่ากฎหมายที่มีศักดิ์สูงกว่าย่อมยกเลิกกฎหมายที่มีศักดิ์ต่ำกว่า
4.
พิจารณาได้ว่ากฎหมายใดใช้ก่อนหรือหลังอีกฉบับหนึ่ง
82.
หลักที่ว่า"พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะผู้ใดจะละเมิดมิได้"ปรากฎอยู่ในกฎหมายใด
1.
กฎหมายตราสามดวง
2.
กฎมณเฑียรบาล
3.
ประกาศพระบรมราชโองการ
4. รัฐธรรมนูญ
83.
ข้อใดเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
1. สมาคม
2.
เรือเดินสมุทร
3.
สำนักสงฆ์
4.
คอนโดมิเนียม
84.
ข้อใดไม่ใช่นิติบุคคล
1. อำเภอ
2.
ทบวงการเมือง ได้แก่ กระทรวง ทบวง กรม
3.
ห้างหุ้นส่วนจำกัด
4.
วัดวาอาราม
85.
ข้อใดไม่ใช่นิติบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
1.
บริษัท
2. สมาคม
3.
มูลนิธิ
4. การไฟฟ้าแห่งประเทศไทย
86.
"นิติบุคคล หมายถึง บุคคลตามกฎหมาย มีสิทธิและหน้าที่ได้เช่นเดียวกับบุคคลธรรมดาเป็นแต่สิทธิและหน้าที่บางประการซึ่งโดยสภาพแล้วจะมีได้เฉพาะบุคคลธรรมดา"
ข้อความนี้หมายความว่าอย่างไร
1.
บุคคลธรรมดามีสิทธิได้มากกว่านิติบุคคล
2.
นิติบุคคลอาจมีสิทธิได้มากกว่าบุคคลธรรมดา
3.
นิติบุคคลและบุคคลธรรมดามีสิทธิและหน้าที่เท่าๆกัน
4. บุคคลธรรมดามีสิทธิและหน้าที่บางอย่างซึ่งนิติบุคคลไม่มี
87. สิทธิของบุคคลเริ่มตั้งแต่เมื่อใด
1.
เมื่อบิดามารดารับรองว่าเป็นบุตร
2. ว่าอยู่ในครรภ์มารดานับตั้งแต่มารดาเริ่มตั้งครรภ์
3.
เมื่อคลอดจากครรภ์มารดาด้วยความปลอดภัย
4.
เมื่อบิดามารดาแจ้งการต่อเจ้าหน้าที่ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
88.
บุคคลธรรมดาเริ่มมีสิทธิตามกฎหมายเมื่อใด
1.
ตั้งแต่มารดาเริ่มตั้งครรภ์ แม้ว่าได้ตายก่อนเกิดมามีชีวิตรอดอยู่
2. ตั้งแต่เป็นทารกในครรภ์มารดา หากว่าภายหลังเกิดมามีชีวิตรอดอยู่
3.
เมื่อบิดามารดาแจ้งการเกิดต่อเจ้าหน้าที่ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด
4.
เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกจนมีอายุครบ 15 ปีบริบูรณ์
89.
รู้แต่เพียงว่านางปุ๋ยเกิดปีพ.ศ. 2500
แต่พ้นวิสัยที่จะรู้วันเกิดนางปุ๋ยได้ ดังนี้นางปุ๋ยบรรลุนิติภาวะเมื่อใด
1. 1 มกราคม พ. ศ. 2520
2.
2 มกราคม พ. ศ. 2520
3.
1 เมษายน พ.ศ. 2520
4.
2 เมษายน พ.ศ. 2520
90.
กฎหมายได้บัญญัติให้บุคคลมีที่อยู่เป็นประจำและเรียกที่อยู่นี้ว่าอะไร
1.
สำมะโนครัว
2. ภูมิลำเนา
3. สถานะ
4.
ความสามารถ
91.
ข้อใดไม่ต้องจดทะเบียนสถานะของบุคคล
1. การบรรลุนิติภาวะ
2.
การสมรส
3.
การรับรองบุตร
4.
การเลิกรับรองบุตรบุญธรรม
92.
ข้อใดเป็นผลของการสาบสูญ
1.
ต้องจัดให้มีผู้พิทักษ์
2.
การสำรวจย่อมสิ้นสุดลง
3.
กฎหมายกำหนดภูมิลำเนาให้
4. ทรัพย์มรดกตกทอดแก่ทายาท
93.
บุคคลใดคือผู้ที่ศาลแต่งตั้งให้เป็นผู้ดูแลคนไร้ความสามารถ
1.
ผู้พิทักษ์
2.
ผู้อภิบาล
3. ผู้อนุบาล
4.
ผู้ปกครอง
94. นิติกรรมใดที่ผู้เยาว์ไม่อาจทำได้โดยลำพังตนเอง
1. การทําพินัยกรรมเมื่อมีอายุ
15 ปีบริบูรณ์
2. การจดทะเบียนรับรองบุตร
3. การรับทรัพย์ที่มีผู้อื่นให้โดยเสน่หา
4. การซื้อรถยนต์เพื่อขับขี่
95. ผู้เยาว์สามารถกระทำกิจกรรมใดได้ด้วยตนเองอย่างสมบูรณ์และถูกต้องตามกฎหมาย
1. การทําพินัยกรรมเมื่ออายุ 16 ปี
2. หมั้นเมื่ออายุ
17 ปี
3. จดทะเบียนสมรสเมื่ออายุ
18 ปี
4. ซื้อรถยนต์เมื่ออายุ
19 ปี
96. ข้อใดแสดงว่านิติกรรมนั้นเป็นโมฆียกรรม
1. เด็กชายดำไปซื้อโทรศัพท์มือถือ ต่อมาบิดาของเด็กชายดำนำไปคืนผู้ขาย
เพราะราคาแพงกว่าปกติ
2. เด็กชายดำไปซื้อโทรศัพท์มือถือ
ต่อมาครูของเด็กชายดำนำไปคืนผู้ขาย เพราะราคาแพงกว่าปกติ
3.
เด็กชายดำไปซื้อโทรศัพท์มือถือ ต่อมาเด็กชายดำนำไปคืนผู้ขาย เพราะราคาแพงกว่าปกติ
4.
เด็กชายดำไปซื้อโทรศัพท์มือถือ ต่อมาเด็กชายดำนำไปคืนผู้ขาย
เพราะบิดาของเด็กชายดำสั่งให้ไปคืน
97.
นิติกรรมที่มีผลเป็นโมฆียะหมายความว่าอย่างไร
1.
ไม่มีผลบังคับใช้จนกว่าจะมีการให้สัตยาบันไม่มีผลบังคับอย่างใดเลยในทางกฎหมาย
3.
ไม่มีผลสมบูรณ์จนกว่าจะมีการบอกล้างโมฆยกรรม
4 มีผลสมบูรณ์ตามกฎหมายหากไม่มีการบอกล้างโมมียกรรม
98.
ข้อใดถูกต้องเกี่ยวกับผลของพินัยกรรมที่ทำโดยผู้เยาว์
1.
มีผลเป็นโมฆยะเพราะไม่เป็นไปตามหลักเรื่องความสามารถในการทำนิติกรรม
2.
มีผลเป็นโมฆะเพราะตามหลักกฎหมายมรดกห้ามไม่ให้ผู้เยาว์ทำพินัยกรรม
3.
มีผลเป็นโมฆะถ้าหากผู้เยาว์ที่มีอายุต่ำกว่าสิบห้าปีบริบูรณ์เป็นผู้ทำพินัยกรรม
4.
มีผลเป็นโมฆยะเพราะการแสดงเจตนาในการทำพินัยกรรมของผู้เยาว์ไม่สมบูรณ์
99.
ปัจจุบันเอกมีอายุสิบสีปีสิบเจ็ดเดือนในส่วนที่เกี่ยวกับความสามารถของผู้เยาว์ต่อไปนี้ข้อใดถูกต้องที่สุด
1. เอกสามารถที่จะทำพินัยกรรมได้โดยไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมก่อน
2.
ถ้าหากเอกทำพินัยกรรมและไม่ได้รับความยินยอมจากบิดามารดาก่อนพินัยกรรมจะตกเป็นโมฆี่ยะ
3.
เอกยังไม่สามารถที่จะทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเพราะขัดกฎหมาย
4. ถ้าหากเอกต้องการที่จะทำพินัยกรรมเอกจะต้องขอความยินยอมจากบิดามารดาก่อน
100.
นางสาวน้ำอ้อยได้ทำพินัยกรรมขณะมีอายุ 14
ปีต่อมานางสาวน้ำอ้อยเสียชีวิตเมื่อมีอายุพินัยกรรมที่ทำขึ้นมีผลใช้ได้หรือไม่
1. พินัยกรรมเป็นโมฆะเพราะอายุไม่ครบที่จะทำพินัยกรรมได้
2. พินัยกรรมเป็นโมฆะเพราะไม่ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมให้ทำได้
3.
พินัยกรรมมีผลใช้ได้เพราะเป็นเรื่องที่นางสาวน้ำอ้อยได้ทำเองเฉพาะตัว
4. พินัยกรรมมีผลใช้ได้เพราะนางสาวน้ำอ้อยเสียชีวิตในขณะบรรลุนิติภาวะแล้ว
101.
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ในส่วนเกี่ยวกับเรื่องความสามารถข้อใดผิด
1.
ผู้เยาว์อายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปสามารถทำพินัยกรรมได้
3.
ผู้เยาว์ที่ถูกจำกัดความสามารถไม่สามารถเป็นเจ้าของทรัพย์สินได้
3.
การจำกัดความสามารถในการทำพินัยกรรมมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคนวิกลจริต
4. การตกเป็นบุคคลไร้ความสามารถหรือบุคคลเสมือนไร้ความสามารถมีผลทันที่ที่ศาลได้มีคำพิพากษา
102.
จากหลักเกณฑ์ของกฎหมายแพ่งที่เกี่ยวกับผู้เยาว์ข้อใดผิด
1.
ผู้เยาว์ตกอยู่ในฐานะลูกหนี้ได้
2.
ผู้เยาว์บรรลุนิติภาวะได้ด้วยการสมรส
3.
ผู้เยาว์ถูกจำกัดความสามารถในการทำนิติกรรม
4.
ผู้เยาว์ถูกจำกัดความสามารถในการเป็นเจ้าของบ้านและที่ดิน
103.
การที่ผู้เยาว์ถูกจำกัดความสามารถในการทำนิติกรรมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จะเป็นการขัดกับหลักความเสมอภาคตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญว่า“
บุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย.......... "หรือไม่เพราะเหตุใด
1.
ขัดเพราะเป็นการจำกัดสิทธิ์อย่างชัดเจน
2.
ขัดเพราะกฎหมายรัฐธรรมนูญย่อมอยู่เหนือกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อ
3. ไม่ขัดเพราะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ได้ห้ามผู้เยาว์ทำนิติกรรม
4.
ไม่ขัดเพราะนิติกรรมที่ผู้เยาว์ได้ทำลงโดยมิได้รับความยินยอมมีผลเป็นโมฆียะ
104.
ประชาอายุปีบริบูรณ์มีสิทธิในการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ 2540
ถ้าประชาต้องการที่จะทำสัญญาซื้อขายที่ดินให้มีผลสมบูรณ์ในทางกฎหมายประชาจะต้องขอความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรมหรือไม่เพราะเหตุใด
1.ไม่ต้องขอความยินยอมเพราะรัฐธรรมนูญรับรองสิทธิดังกล่าวแล้ว
2.
ไม่ต้องขอความยินยอมเพราะถือว่าประชาชนบรรลุนิติภาวะแล้ว
3. ต้องขอความยินยอมเพราะการซื้อขายที่ดินเป็นการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ที่กฎหมายบังคับให้ต้องจดทะเบียนจึงต้องได้รับความยินยอมก่อน
4.
ต้องขอความยินยอมเพราะประชายังเป็นผู้เยาว์จึงถูกจำกัดความสามารถในการทำนิติกรรม
105.
บุคคลใดมีอำนาจทำนิติกรรมแทนผู้เยาว์
1. ผู้รับมอบอำนาจจากผู้เยาว์
2. ผู้อนุบาล
3.
ผู้แทนโดยชอบธรรม
4. ผู้พิทักษ์
106.
ใครเป็นผู้ให้ความยินยอมแก่คนเสมือนไร้ความสามารถในการทำนิติกรรมบางประเภท
1.
ผู้แทนโดยชอบธรรม
2.
ผู้พิทักษ์
3. ผู้อนุบาล
4.
ผู้ใช้อำนาจปกครอง
107. บุคคลใดอาจถูกศาลสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถ
1. ผู้เยาว์
2.
คนไร้ความสามารถ
3.
คนปัญญาอ่อน
4. คนวิกลจริต
108,
คนติดยาบ้าอาจถูกร้องขอให้ศาลสั่งว่าเป็นผู้หย่อนความสามารถประเภทใด
1. ผู้อนุบาล
2. คนวิกลจริต
3.
คนไร้ความสามารถ
4.
คนเสมือนไร้ความสามารถ
109.
คนเสมือนไร้ความสามารถจะทำพินัยกรรมด้วยตนเองได้หรือไม่
1.
ทำได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์
2.
ทำไม่ได้เว้นแต่ได้รับอนุญาตจากศาลแล้ว
3. ทำได้แต่ต้องได้รับความยินยอมจากผู้พิทักษ์
4.
ทำไม่ได้ต้องให้ผู้พิทักษ์กระทำแทน
110.
กิจการใดที่คนเสมือนไร้ความสามารถทำได้โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์
1.
ทำสัญญาประนีประนอมยอมความในศาล
2.
รับชำระหนี้เงินกู้ซึ่งบิดาให้ผู้อื่นยืมไป
3. บอกสละมรดกที่ตกทอดมาถึงตน
4.
ทำพินัยกรรม
111.
การเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถสิ้นสุดลงเมื่อใด
1.
ผู้พิทักษ์ตาย
2.
ศาลเพิกถอนคำสั่งให้เป็นคนเสมือนไร้ความสามารถแล้ว
3.
ศาลสั่งถอนผู้พิทักษ์
4.
อาการจิตฟันเฟือนหายเป็นปกติ
112.
เด็กชายแดงอายุ 6 ขวบผลักเด็กชายเขียวล้มหัวแตกต้องเย็บแผล 5
เข็มเด็กชายแดงต้องรับผิดหรือไม่อย่างไร
1.
รับผิดทั้งในทางอาญาและทางแพ่ง
2.
รับผิดทางแพ่งแต่ไม่รับผิดทางอาญา
3.
รับผิดทางอาญาแต่ไม่รับผิดทางแพ่ง
4.
ไม่ต้องรับผิดทั้งทางอาญาและทางแพ่ง
113. นาย ก. หมั้นกับนางสาวข.
ภายหลังนางสาว ข. ไปแต่งงานกับนาย ค. จากเหตุการณ์ข้างต้นข้อความต่อไปนี้ข้อใดถูก
1. นางสาว ข.
ยังมีสิทธิครอบครองของหมั่นโดยไม่ต้องส่งคืนนายก.
2. นางสาว ข. มีความผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยครอบครัว
3. นาย ก. สามารถร้องต่อศาลให้นางสาวข. คืนของหมั้นแก่นายก. ได้
4. นายสามารถร้องต่อศาลให้การแต่งงานของนางสาว ข.
และนาย ค. เป็นโมฆะได้
114.
การผิดสัญญาหมั้นฝ่ายที่เสียหายย่อมมีสิทธิเรียกร้องจากฝ่ายที่ผิดสัญญาได้ยกเว้นเรื่องใด
1.
เรียกค่าทดแทนความเสียหาย
2.
ร้องขอให้ศาลบังคับให้มีการสมรส
3.
ถ้าไม่มีการสมรสอันเนื่องมาจากฝ่ายหญิงผิดสัญญาต้องคืนของหมั้นให้ฝ่ายชาย
4. ฝ่ายชายเรียกสินสอดคืนจากฝ่ายหญิงได้ถ้าไม่มีการสมรสโดยมีเหตุสำคัญอันเกิดแก่หญิง
115. นายสมชายได้หมั้นกับนางสาวสุดสวยด้วยแหวนเพชรและได้ให้สินสอดแก่บิดามารดาฝ่ายหญิงต่อมานายสมชายเปลี่ยนใจไปแต่งงานกับนางสาวกัลยาจากกรณีดังกล่าวข้อใดถูกต้องที่สุดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
1.
นายสมชายสามารถเรียกสินสอดคืนจากบิดามารดาของนางสาวสุดสวยเพราะมิได้แต่งงานกับนางสาวสุดสวย.
2.
นายสมชายสามารถเรียกแหวนคืนจากนางสาวสุดสวยมาให้นางสาวกัลยาเพราะเป็นหญิงที่แต่งงานด้วย.
3. นางสาวสุดสวยสามารถร้องขอให้ศาลสั่งนายสมชายมาสมรสกับตนเพราะได้มีการหมั้นกันแล้ว
4. นายสมชายจะต้องเสียเบี้ยปรับให้กับนางสาวสุดสวยเพราะผิดสัญญาหมั้น
116.
ถ้าชายผิดสัญญาหมั้นหญิงคู่หมั้นมีสิทธิอย่างไร
1.
เรียกค่าทดแทนความเสียหายต่อกายและจิตใจของหญิงได้การ
2.
เรียกค่าทดแทนความเสียหายต่อชื่อเสียงของหญิงได้
3.
ริบของหมั้นแต่จะเรียกค่าทดแทนอีกไม่ได้
4.
ริบของหมั้นและร้องขอให้ศาลบังคับสมรสได้
117.
นายช้างหมั้นนางสาวไก่โดยมีแหวนเพชรน้ำงาม 5
กะรัตเป็นประกันพอใกล้วันสมรสนางสาวไก่เกิดเปลี่ยนใจไม่ต้องการสมรสกับนายช้างเพราะหลงรักคนอื่นเธอได้หลบหนีออกจากบ้านไปจงพิจารณาปัญหานี้โดยอาศัยเหตุผลความเป็นไปได้และหลักกฎหมายนายช้างควรใช้วิธีใดจึงจะดีที่สุด
1.
ติดตามหานางสาวไก่แล้วอ้อนวอนขอแต่งงานด้วย
2.
ฟ้องต่อศาลที่มีอำนาจขอให้บังคับนางสาวไก่คืนแหวนหมั้น
3. ฟ้องต่อศาลที่มีอำนาจขอให้บังคับนางสาวไก่แต่งงานกับตน
4.
ขอให้ผู้ปกครองนางสาวไก่ยกน้องสาวชื่อเก้งซึ่งมีความงามพอๆกันให้แต่งงานกับตนแทน
118.
นายแผนสมรสกับนางวันทองโดยชอบด้วยกฎหมายนายแผนไปต่างประเทศนางวันทองถูกนายช้างข่มขืนบุตรที่เกิดขึ้นระหว่างนางวันทองและนายช้างจะเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของใคร
1.
เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนางวันทองและนายแผน
2. เป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายช้างโดยไม่จำเป็นต้องดำเนินการใดๆ
3. เมื่อพิสูจน์ได้ว่าเป็นบุตรของนายช้างย่อมเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนายช้าง
4.
แม้นนางวันทองจะสมรสกับนายแผนบุตรนั้นยังคงเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของนางวันทอง
119. เด็กชายดำเป็นบุตรนอกสมรสของนายเงินและนางทองต่อมานางทองได้สมรสกับนายเพชรและได้นำเด็กชายดำไปเลี้ยงดูด้วยใครเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กชายดำ
1.
นายเงินและนางทอง
2.
นางทองและนายเพชร
3.
นายเงินหรือนางทอง
4.
นางทองคนเดียว
120.
ชาย-หญิงคู่ใดสามารถทำการสมรสได้ตามกฎหมาย
1.
ชาย-หญิงร่วมบิดาแต่ต่างมารดากัน
2.
หญิงหย่ากับคู่สมรสเดิมนับจากวันหย่าก่อน 310 วัน
3.
พ่อบุญธรรมกับบุตรบุญธรรมซึ่งเป็นหญิงบรรลุนิติภาวะแล้ว
4.
ฝ่ายชายเป็นลูกของพี่ชายพ่อฝ่ายหญิงเป็นลูกของน้องชายพ่อ
121. หญิงอายุ
16 ปีสามารถทำการสมรสได้ในกรณีใด
1.
ได้รับอนุญาตจากศาล
2.
ได้รับการยินยอมจากบิดามารดาหรือผู้แทนโดยชอบธรรม
3.
ไม่มีสิทธิที่จะทำการสมรสได้เลยไม่ว่าในกรณีใดๆ
4.
บิดามารดาถึงแก่ความตายหรือถูกถอนอำนาจปกครองทั้งสองคน
122.
การสมรสที่ถูกต้องตามกฎหมายในสังคมไทยคือข้อใด
1 ชายหญิงโสดที่มีอายุต่ำกว่า 20
ปีสามารถจดทะเบียนสมรสได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
2. ชายหญิงโสดที่มีอายุต่ำกว่า 17
ปีสามารถจดทะเบียนสมรสได้โดยได้รับคำยินยอมจากบิดามารดาหรือผู้ปกครอง
3. ชายหญิงที่ยังไม่มีคู่สมรสอายุ 17
ปีบริบูรณ์ไม่เป็นญาติสืบสายโลหิตสามารถจดทะเบียนสมรสได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
4. ชายหญิงที่ยังไม่มีคู่สมรสมีอายุ 20
ปีบริบูรณ์ไม่เป็นญาติสืบสายโลหิตสามารถจดทะเบียนสมรสได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
123.
การสมรสในข้อใดตกเป็นโมฆะ
1. การสมรสระหว่างผู้รับบุตรบุญธรรมและบุตรบุญธรรม
2.
การสมรสระหว่างชายและหญิงโดยฝ่ายชายเป็นบุคคลเสมือนไร้ความสามารถ
3.
การสมรสระหว่างชายอายุ 16 ปีและหญิงอายุ 15 ปีไม่ได้รับความยินยอมจากบิดามารดา
4.
การสมรสระหว่างชายและหญิงโดยชายและหญิงเป็นพี่น้องร่วมบิดาเดียวกัน
124.
การสมรสใดเป็นการสมรสที่เป็นโมฆยะ
1.
บุตรบุญธรรมสมรสกับผู้รับบุตรบุญธรรม
2.
การสมรสโดยสำคัญผิดในฐานะของคู่สมรส "
3.
การสมรสโดยข่มขู่
4.
การสมรสระหว่างปู่กับหลานสาว
125. ข้อใดไม่ใช่เหตุที่ทำให้การสมรสเป็นโมฆะ
1. การสมรสที่ชายหรือหญิงเป็นบุคคลวิกลจริต
2. การสมรสที่ชายหญิงเป็นญาติสืบสายโลหิตโดยตรง
8 การสมรสที่ไม่ได้จดทะเบียนตามกฎหมาย
4.
การสมรสโดยที่ฝ่ายหญิงไม่ยินยอมสมรสด้วย
126.
การที่ชายสมรสกับหญิงโดยเข้าใจผิดคิดว่าหญิงนั้นเป็นลูกเศรษฐีแท้ที่จริงเป็นคนสวนการสมรสดังกล่าวมีผลอย่างไร
1. สมบูรณ์
2. ไม่สมบูรณ์
3. เป็นโมฆียะ
4. เป็นโมฆะ
127.
ทรัพย์สินในข้อใดถือว่าเป็นสินส่วนตัว
1.
ดอกผลของสินส่วนตัว
2.
รายได้จากการประกอบอาชีพของคู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งอ
3. ทรัพย์สินที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาโดยการรับมรดก.
4.
อสังหาริมทรัพย์ที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส
128.
ข้อใดถือเป็นสินส่วนตัวภายหลังการสมรส
1.
ทรัพย์สินที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้รับมรดก
2.
เงินสินสอดที่ฝ่ายชายมอบให้ฝ่ายหญิง
3. ทรัพย์สินที่คู่สมรสฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้มาระหว่างสมรส
4.
ดอกผลของสินส่วนตัว
129.
ข้อใดเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่แสดงความหมายของคำว่า“ นิติกรรม”
1. ต้องเป็นการกระทำที่มีการแสดงเจตนาเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิและก่อให้เกิดผลทางกฎหมายโดยมีบุคคลที่สามเป็นพยาน
2.
ต้องเป็นการกระทำที่มีการแสดงเจตนาเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิและมีผลทางกฎหมายระหว่างบุคคลสองคน
3.
ต้องเป็นการกระทำที่มีการแสดงเจตนาเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิโดยความสมัครใจของบุคคลคนเดียว
4.
ต้องเป็นการกระทำที่มีการแสดงเจตนาเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมาย
130. ข้อใดไม่ใช่การทำนิติกรรม
1.
ลูกทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินต่างๆของตนให้แก่บิดามารดา
2.
การนำสัญญาซื้อขายบ้านและที่ดินไปจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐ
3.
บริษัทบัวยื่นซองเสนอราคาเครื่องคอมพิวเตอร์ต่อทบวงมหาวิทยาลัยเพื่อประกวดราคา
4. นางสาวทองกวาวติดต่อนายคล้าวเพื่อจะเสนอขายที่ดินของนางบุบผาในราคา 1
ล้านบาท
131.
ข้อใดต่อไปนี้เป็นนิติกรรมฝ่ายเดียว
1. ให้
2. พินัยกรรม
3. จ้างแรงงาน
4. ละเมิด
132. นิติกรรมใดไม่เป็นโมฆะ
1.
ทำผิดแบบของนิติกรรม
2.
มีวัตถุประสงค์ขัดต่อกฎหมาย
3. ทำผิดหลักเกณฑ์ว่าด้วยความสามารถของบุคคล
4.
มีวัตถุประสงค์ขัดต่อศีลธรรมอันดีของประชาชน
133. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนดให้ต้องทำสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรเมื่อกู้ยืมเงินเกินกว่าจำนวนเท่าใดจึงจะฟ้องร้องบังคับคดีได้
1. เกินกว่า 50
บาท
2. เกินกว่า 100
บาท
3. เกินกว่า 500
บาท
4. เกินกว่า 2, 000
134.
นายพิเรนมีอาชีพรับจ้างตัดต่อภาพยนตร์ได้ทำสัญญาตัดต่อภาพให้แก่บริษัทถ่ายทำภาพยนตร์ต่อมาได้ลักลอบนำภาพเปลือยของนักแสดงในภาพยนตร์ดังกล่าวออกเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ตอีกทั้งได้บันทึกภาพลงในแผ่นซีดีจำหน่ายในราคาแผ่นละ
200 บาทดังนี้นายพิเรนต้องรับผิดหรือไม่
1. ต้องรับผิดทางแพ่งฐานะละเมิดบริษัทภาพยนตร์และนักแสดง
2.
ไม่ต้องต้องรับผิดทางแพ่งฐานผิดสัญญาจ้างกับบริษัทภาพยนตร์
3. ต้องรับผิดทางอาญาฐานค้ากำไรเกินควร
4.
ไม่ต้องรับผิดทางอาญาฐานทำให้ผู้อื่นเสื่อมเสียชื่อเสียง
135.
นายนทีกู้ยืมเงินนายทองเป็นเงิน 10, 000 บาททำสัญญากู้เป็นหนังสือลงลายมือชื่อนายนทีและนายทองในสัญญาระบุให้นายทองคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ
18 ต่อปีกำหนดให้นายนที่ชำระหนี้ภายใน 1
ปีดังนี้เมื่อหนี้ถึงกำหนดชำระหนี้นายนทีจะต้องชำระหนี้หรือไม่
1.
ไม่ต้องชำระหนี้ทั้งหมดเพราะสัญญากู้ตกเป็นโมฆะ
2.
ต้องชำระหนี้ทั้งหมดเพราะได้ทำสัญญากู้ไว้เป็นหลักฐาน
3.
ต้องชำระหนี้เฉพาะดอกเบี้ยส่วนเงินต้น 10,000 บาทไม่ต้องชำระเพราะเป็นโมฆะ
4. ต้องชำระหนี้เฉพาะเงินต้น 10,000
บาทส่วนดอกเบี้ยไม่ต้องชำระเพราะตกเป็นโมฆะ
136.
สิทธิข้อใดต่อไปไปนี้ไม่เป็นทรัพยสิทธิ
1.
สิทธิครอบครอง
2. สิทธิจำนอง
3.สิทธิเช่าซื้อ
4. สิทธิเก็บกิน
137.
ตามกฎหมายว่าด้วยมรดกใครคือทายาทโดยธรรมลำดับแรก
1. บิดามารดา
2. คู่สมรส
3.
ผู้รับพินัยกรรม
4.
ผู้สืบสันดาน
133. ใครเป็นทายาทโดยธรรม
1.
ผู้มีสิทธิได้รับมรดกตามข้อกำหนดของพินัยกรรม
2.
ผู้สืบสันดานของผู้ตาย
3.
ผู้มีสิทธิได้รับมรดกตามกฎหมาย
4.
คู่สมรสของผู้ตายที่ยังมีชีวิต
139. ข้อใดไม่ถูกต้องเกี่ยวกับหลักกฎหมายมรดก
1.
เฉพาะทายาทโดยพินัยกรรมมีสิทธิในการได้รับมรดก
2.
มรดกมีความหมายครอบคลุมถึงทรัพย์สินและหนี้สินของผู้ตายด้วย
3.
ทารกในครรภ์มารดาที่ยังไม่มีสภาพบุคคลมีสิทธิในกองมรดก
4.
ทายาทไม่ต้องรับผิดชอบในทางกฎหมายเกินไปกว่าสิทธิที่ได้มาจากการรับมรดก
140. มรดกตกทอดแก่ทายาทเมื่อใด
1.
เมื่อเจ้ามรดกตายและทายาทแสดงเจตนารับมรดก
2.
เมื่อเจ้ามรดกตาย
3.
เมื่อเจ้ามรดกตายและไม่มีผู้ใดค้านความเป็นทายาท
4.
เมื่อเจ้ามรดกทำพินัยกรรมยกทรัพย์สินของตนให้ทายาท
141.
ทายาทของเจ้ามรดกต้องรับผิดในหนี้สินที่เจ้ามรดกก่อไว้เพียงใด
1.
ไม่ต้องรับผิดในฐานะทายาทแต่อย่างใด
2.
จะรับผิดเมื่อมีมรดกตกได้แก่ทายาทเท่านั้น
3.
ไม่ต้องรับผิดในฐานะส่วนตัวและในฐานะทายาท
4.
รับผิดเพียงเท่าที่มรดกตกทอดได้แก่ตนเท่านั้น
142.
ข้อใดต่อไปนี้ไม่ถูกต้อง
1. พินัยกรรมเป็นการแสดงเจตนาอันเป็นคำสั่งสุดท้ายกำหนดการเผื่อตาย
2.
พินัยกรรมต้องทำตามแบบที่กฎหมายกำหนดมิฉะนั้นตกเป็นโมฆียะ
3.
คนไร้ความสามารถทำพินัยกรรมไม่ได้มีผลเป็นโมฆะ
4.
พินัยกรรมจะมีผลใช้บังคับได้ก็ต่อเมื่อผู้ทำพินัยกรรมถึงแก่ความตาย
143.
แดงทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากดำแต่ตกลงกันด้วยวาจาท่านคิดว่าจะใช้ได้หรือไม่เพราะเหตุใด
1. ใช้ได้ แต่ถ้าจะฟ้องร้องต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ
2. ใช้ได้ แต่ต้องมีพยานรับรองอย่างน้อยคน
3.
ใช้ไม่ได้ เพราะต้องทำเป็นหนังสือ
4. ใช้ไม่ได้ เพราะต้องไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่
144.
นายสนทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากนายจอม 15 เดือนนายสนชำระเงินมาถูกต้องทุกงวดแต่ใน 2
งวดสุดท้ายนายสนผิดนัดไม่ชำระนายจอมจะบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อทันทีได้หรือไม่เพราะเหตุใด.
1.
ไม่ได้เพราะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ
2. ได้เพราะสนผิดนัดไม่ชำระหนี้เพียงครั้งเดียวก็บอกเลิกสัญญาได้แล้ว
3.
ได้เพราะสนผิดนัดไม่ชำระหนี้ 2 คราวติดต่อกัน
4.
ได้เพราะผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิบอกเลิกสัญญาเวลาใดเวลาหนึ่งได้
145.
ข้อใดที่เป็นอสังหาริมทรัพย์ในบริเวณเนื้อที่บ้านของ นาย ก ซึ่งสร้างโรงงานอุตสาหกรรมไว้ต้นยางที่ขึ้นบริเวณโรงงาน
อุตสาหกรรมไว้
1.
ต้นยางที่ขึ้นบริเวณโรงงาน
2.
กระแสไฟฟ้าที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม
3.
ต้นข้าวที่ครอบครัวนายกปลูกไว้สำหรับใช้บริโภคในแต่ละปี
4.
พลังน้ำตกที่นายกนำมาใช้ในการปั่นกระแสไฟฟ้า
146.
อสังหาริมทรัพย์ใดถือว่าเป็นทรัพย์ซึ่งประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดิน
1. ก้อนดิน
2. ตึก
3. รั้ว
4.
กรวด
147. นาย ก. มีที่ดินอยู่ติดริมทะเลลักษณะที่เป็นกรวดหินดินทรายซึ่งสามารถขนย้ายได้ในกรณีเช่นนี้กรวดหินดินทรายเป็นทรัพย์ประเภทใด
1. สังหาริมทรัพย์
2.
อสังหาริมทรัพย์ประเภทที่ดิน
3.
อสังหาริมทรัพย์ประเภทอันติดอยู่กับที่ดิน
4.
อสังหาริมทรัพย์ประเภททรัพย์อันประกอบเป็นอันเดียวกับที่ดิน
148.
สมปองมีบ้านหนึ่งหลังเรือกลไฟหนึ่งลำรถบรรทุกหนึ่งคันข้างหนึ่งเชือกทรัพย์สินในข้อใดที่สมปองไม่อาจนำไปจำนองประกันการชำระหนี้ได้
1. บ้าน
2. เรือกลไฟ
3.
รถบรรทุก
4. ช้าง
149.
ทรัพย์ในข้อใดไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์
1. บ้าน
2
รถยนต์
3. สิทธิเก็บกิน
4. ภาระจำยอม
150. ข้อใดไม่ใช่สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ
1. เรือกำปั่น
2. แพ
3. เรือกลไฟ
4.
ยานพาหนะสัตว์พาหนะ เช่น ช้าง ม้า วัว
151.
"ทรัพย์” และ “ทรัพย์สิน”
มีความหมายแตกต่างกันประการใด
1.
ทรัพย์ต้องมีตัวตน แต่ทรัพย์สินอาจมีตัวตนหรือไม่มีตัวตนก็ได้
2.
ทรัพย์อาจมีราคาหรือไม่ก็ได้ แต่ทรัพย์สินต้องมีราคาและมีมูลค่าเป็นเงินเสมอ
3.
ทรัพย์อาจถือเอาเป็นของเราได้เสมอ แต่ทรัพย์สินบางครั้งไม่อาจถือเอาได้
4.
ทรัพย์เป็นวัตถุสิ่งของ แต่ทรัพย์สินเป็นนามธรรมไม่เป็นวัตถุที่จับต้องได้
152.
ข้อใดคือความหมายของคำว่า “ทรัพย์”
ตามประมวลกฎหมายอาญา
1.
สิ่งที่มีราคา
2.
สิ่งที่มีรูปร่างและมีราคา
3.
สิ่งที่มีรูปร่างและไม่มีรูปร่างและมีราคา
4.
วัตถุมีรูปร่างซึ่งอาจมีราคาและถือเอาได้
153. สัญญาเช่าซื้อคือสัญญาแบบใด
1. เป็นสัญญาเช่าทรัพย์ที่ผู้เช่าจะได้สิทธิ์ในทรัพย์สินตามสัญญา
2.
เป็นสัญญาเช่าซื้อขายทรัพย์ลงหน้า
3. เป็นสัญญาเช่าสังหาริมทรัพย์
4.
เป็นสัญญาเช่าซื้อขายผ่อนส่ง
154.
ข้อใดไม่ถูกต้อง
1.
สัญญาเช่า ผู้ให้เช่าตายสัญญาเช่าระงับ
2. สัญญาเช่าซื้อ
ผู้เช่าซื้อมีสิทธิ์บอกเลิกสัญญาเมื่อใดก็ได้
3. สัญญาเช่า ตกลงแล้ววาจาก็มีผลสมบูรณ์
4. สัญญาเช่า
ผู้ให้เช่าไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของทรัพย์ที่ให้เช่าก็ได้
155. นายสดขายแหวนเพชรให้นางนิภาในราคา
3,000 บาทโดยมีข้อตกลงให้นายสดมีสิทธิ์รับแหวนคืน เมื่อได้ชำระเงิน 30,000 บาท กรณีนี้ถือว่าเป็นสัญญาประเภทใด
1. สัญญาจำนอง
2. สัญญาขายฝาก
3.
สัญญาต่างตอบแทน
4. สัญญาจะซื้อจะขาย
156. ข้อใดกล่าวถูกต้อง
1. สัญญาเช่าซื้อกรรมสิทธิ์ยังเป็นของผู้ที่ให้เช่าอยู่ตราบใดที่ชำระค่าเช่าซื้อยังไม่ครบ
2. ลักษณะของสัญญาเช่าซื้อขายกับสัญญาเช่าซื้อคือผู้ให้เช่าซื้อหรือเช่าทรัพย์ไม่ต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สิน
3.
สัญญาเช่าซื้อถ้าผู้ให้เช่าซื้อตายสัญญาระงับ
4
สัญญาเช่าซื้อพบผู้เช่าผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าแม้เพียงครั้งเดียวผู้เช่าซื้อจะบอกเลิกสัญญาได้
157. การเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่เพียงแต่ทำเป็นหนังสือโดยมิได้นำไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่จะฟ้องร้องบังคับคดีได้กี่ปี
1. 1 ปี
2. 2 ปี
3. 3 ปี
4. 5 ปี
158. กรณีใดต่อไปนี้ไม่ใช่หน้าที่ของบิดามารดาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
1.
อุปการะเลี้ยงดู บุตรผู้เยาว์
2. อุปการะเลี้ยงบทที่หาเลี้ยงตนเองไม่ได้
3. อุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้บรรลุนิติภาวะ
4.
อุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้ทุพพลภาพและหาเลี้ยงตนเองไม่ได้
159. พิธีกรรมใดที่กฎหมายกำหนดแบบให้ต้องจดทะเบียนตามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์
1. การสมรส
2. การทำพินัยกรรม
3.
การซื้อขายรถยนต์
4.
การซื้อขายอาวุธปืน
160.
พระภิกษุเทพมรณภาพในะหว่างเป็นพระภิกษุ ขณะที่มรณภาพมีทรัพย์สินคิดเป็นเงิน 1
แสนบาทซึ่งได้มาจากการที่ทำนไปเทศน์สั่งสอนประชาชนแล้วมีคนถวายท่าน ขณะท่านมรณภาพยังมีบิดมารดามีชีวิตอยู่
ดังนี้ทรัพย์สินดังกล่าวตกได้แก่ใคร
1.
ตกเป็นของกรมการศาสนา
2.
ตกเป็นของกระทรวงศึกษาธิการ
3. ตกเป็นของวัดซึ่งเป็นภูมิลำเนาของท่าน
4.
ตกเป็นของบิดามารดาและวัดซึ่งเป็นภูมิลำเนาของท่าน
161.
นายสนบวชเป็นพระภิกษุ ต่อมาถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 พระภิกษุสนจึงนำเงินที่ได้ไปฝากธนาคารและอีกไม่นานพระภิกษุสนมรณภาพลง
ดังนั้นสมบัติดังกล่าวของพระภิกษุสน จะตกแก่ใคร
1. ภรรยา
2. บุตร
3 วัด
4. พ่อแม่
162.
การรับบุคคลอายุ 17 ปีและสมรสแล้ว
เป็นบุตรบุญธรรมจะต้องได้รับความยินยอมจากใครบ้าง
1. จากบิดามารดา
และคู่สมรสของผู้นั้น
2. จากบิดามารดา
ตัวเขาเอง และคู่สมรส
3
จากตัวเขาเอง และคู่สมรส
4.
จากบิดาในฐานะผู้ใช้อำนาจปกครอง และคู่สมรสของผู้นั้น
163.
บุตรบุญธรรมมีความสัมพันธ์กับผู้รับบุตรบุญธรรมในฐานะใด
1.
มีฐานะอย่างเดียวกับบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้รับบุตรบุญธรรมโดยต้องสิ้นความสัมพันธ์ใดๆ
ในครอบครัวเดิมของตน
2.
มีฐานะเป็นบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้รับบุตรบุญธรรม และคู่สมรสของผู้รับบุตรบุญธรรม
แต่ไม่เสียสิทธิและหน้าที่ในครอบครัวเดิมของตน
3.
มีฐานะอย่างเดียวกับบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้รับบุตรบุญธรรมและคู่สมรสของผู้รับบุตรบุญธรรม
โดยต้องสิ้นความสัมพันธ์ใดๆ ในครอบครัวเดิมของตน
4. มีฐานะอย่างเดียวกับบุตรชอบด้วยกฎหมายของผู้รับบุตรบุญธรรมแต่ไม่เสียสิทธิและหน้าที่ในครอบครัวเดิมของตน
164. ลักษณะที่สำคัญของกฎหมายอาญาคือข้อใด
1.
โทษทางอาญาประกอบด้วยโทษประหารชีวิตจำคุกกักขังยึดทรัพย์สิน
2. ไม่มีการกำหนดอัตราโทษในการกระทำความผิดไว้แน่นอนตายตัวขึ้นอยู่กับผู้พิพากษา
3
การตีความกฎหมายอาญาจะต้องตีความไปในทางที่เป็นประโยชน์แก่ผู้ต้องหาหรือจำเลย
4. ไม่สามารถใช้กฎหมายอาญาย้อนหลังไปลงโทษการกระทำที่กระทำขึ้นก่อนมีกฎหมายบัญญัติเป็นความผิดได้
165. ข้อใดมิใช่สาระสำคัญของกฎหมายอาญา
1.
ไม่สามารถใช้ย้อนหลังไปลงโทษการกระทำที่เกิดขึ้นก่อนมีกฎหมายบัญญัติเป็นความผิด
2. จะสันนิษฐานไว้ก่อนว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีการพิสูจน์ว่าได้กระทำความผิด
3.
จะต้องตีความโดยเคร่งครัดและเป็นไปในทางที่เป็นประโยชน์แก่จำเลย
4.
มีทั้งบัญญัติไว้เป็นลายลักษณ์อักษรและเป็นจารีตประเพณี
166. ข้อใดไม่สอดคล้องกับหลักกฎหมายอาญา
1.
การห้ามประกอบอาชีพได้อย่างเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายอาญา
2. การที่ผู้ทำผิดความผิดทางอาญาถึงแก่ความตายไม่ทำให้คดีอาญาระงับ
3.
กฎหมายอาญาจัดอยู่ในประเภทกฎหมายมหาชน
4.
กฎหมายอาญาไม่มีผลย้อน หลัง
167. ข้อใดไม่ใช่หลักเกณฑ์สำคัญของกฎหมายอาญา
1. ไม่มีกฎหมาย ไม่มีความชั่ว
2. ไม่มีกฎหมาย
ไม่มีความผิดและโทษ
3. ต้องตีความกฎหมายอาญาโดยเคร่งครัด
4. กฎหมายอาญาจะย้อนหลังให้คนร้ายมีได้
168. ที่ว่ากฎหมายอาญาต้องตีความโดยเคร่งครัดนั้นหมายความว่าอะไร
1. จะลงโทษบุคคลใดได้ต่อเมื่อมีกฎหมายระบุไว้โดยชัดแจ้ง
2. ให้ระมัดระวังและรอบคอบในการตีความ
3.
จะใช้หลักกฎหมายเทียบเคียงเท่าที่จำเป็น
4.
ต้องตีความเป็นคนแก่จำเลยเสมอ
169. ในกระบวนการยุติธรรมทางอาญาข้อใดผิด
1.
หน่วยงานและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมทางอาญาประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจทนายความนักงานอัยการผู้พิพากษาเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์
2. โทษทางอาญาที่จะลงแก่จำเลยเป็นผู้กระทำความผิดประกอบด้วยโทษประหารชีวิต จำคุก
กักกัน ปรับ ริบทรัพย์สิน
3.
พนักงานอัยการจะต้องพิสูจน์ให้ฉันเห็นโดยปราศจากข้อสงสัยว่าจำเลยทำความผิด
4. จำเลยยังไม่ใช่ผู้กระทำความผิดจนกว่าศาลจะได้คำพิพากษาถึงที่สุด
170. ข้อใดไม่จัดว่าเป็นความผิดทางอาญา
1.
ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
2. สั่งจ่ายเช็คโดยที่รู้ว่าไม่มีเงินในบัญชีเงินฝากของตน
3.
ถูกตำรวจจราจรออกไปสังขารจอดรถในที่ห้ามจอด
4. ถูกภรรยาฟ้องศาลขอหย่าขาดจากความเป็นสามี-ภรรยา
171.
ข้อใดเป็นโทษทางอาญา
1. กักกัน
2. เรียกประกันทัณฑ์บน
3. ริบทรัพย์สิน
4.
ห้ามเข้าเขตกำหนด
172.
สภาพบังคับตามข้อใดเป็นการลงโทษทางอาญา
1. การปรับ การกักขัง
2. การเรียกเบี้ยปรับ
การกักขัง
3. การยึดทรัพย์
การชดใช้ค่าเสียหาย
4. การริบ
มัดจำ การเรียกดอกเบี้ย
173.
ความผิดอันยอมความได้หมายถึงข้อใด
1.
ความผิดลหุโทษ
2.
ความผิดที่มีโทษปรับแต่เพียงอย่างเดียว
3.
ความผิดที่มีความรับผิดทางแพ่งอยู่ด้วย
4. ความผิดที่พนักงานสอบสวนและสอบสวนคดีไม่ได้จนกว่าผู้เสียหายจะร้องทุกข์
174. ความผิดทางอาญาซึ่งมีมาตราโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกิน
1,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับความผิดประเภทใด
1.
ความผิดที่ยอมความได้
2. ความผิดอาญาแผ่นดิน
3.
ความผิดที่กฎหมายยกเว้นโทษให้
4. ความผิดลหุโทษ
175. ความผิดลหุโทษหมายความว่าอย่างไร
1.
ความผิดทางอาญาซึ่งผู้พิพากษาได้พิจารณาพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกิน 1
เดือนปรับไม่เกินหนึ่งพันบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
2.
ความรับผิดทางแพ่งซึ่งเป็นเรื่องเล็กๆน้อยน้อยแต่ผู้พิพากษาเพียงคนเดียวก็มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีได้
3. ความผิดทางอาญา ซึ่งมีมาตราโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งเดือนหรือปรับไม่เกิน 1,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ
4.
หนูผิดทางอาญาซึ่งเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆที่โจทก์จำเลยสามารถยอมความกันได้
176. ลักษณะ “ความรับผิด” ที่แตกต่างการทางกฎหมายแพ่งและกฎหมายอาญาที่สำคัญคืออะไร
1.
เจตนาที่จะกำหนดความผิดหรือความพยายามกระทำความผิด
2.
การวินิจฉัยชี้ขาดเกี่ยวกับความผิดของสาร
3. สิ่งที่จะต้องกระทำหรืองดเว้นการกระทำ
4. หน้าที่ที่จะต้องกระทำใดเป็นการกระทำ
177. บุตรลักทรัพย์ของบิดา กฎหมายที่ถือว่าเป็นความผิดทางอาญาประเภทใด
1. ความผิดที่ยอมความได้
2. ความผิดอาญาแผ่นดิน
3.
ความผิดที่กฎหมายยกเว้นโทษให้
4.
ความผิดลหุโทษ
178.
สามีลักทรัพย์ภรรยาไปเล่นการพนันมีความผิดหรือไม่
1. ไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์แต่ผิดฐานฉ้อโกง
2. มีความผิดต่อกฎหมายยกเว้นโทษให้
3. มีความผิดต่อกฎหมายลดโทษให้กึ่งหนึ่ง
4.
มีความผิดต่อกฎหมายใช้อำนาจศาลในการลงโทษน้อยกว่าที่กำหนดไว้เพียงใดก็ได้
179.
การที่สามีทำร้ายร่างกายภริยาที่ชอบด้วยกฎหมาย
อันเยื่องมาจากความขัดแย้งภายในครอบครัวจะมีผลตามประมวลกฎหมายอาญาอย่างไร
1.
ไม่เป็นความผิดเพราะเป็นเรื่องในครอบครัว
2. แค่เป็นความสุขเพราะ
ฉันอยู่ในฐานะหัวหน้าครอบครัวย่อมมีสิทธิ์ที่จะสั่งสอนภรรยาได้
3. เป็นความผิดเพราะไม่มีกฎหมายยกเว้นความผิดไว้
4. เป็นความผิดความมีเหตุอันควรบรรเทาโทษเพราะเป็นเรื่องภายในครอบครัว
180. นายแดงขู่ว่าจะเผาบ้านนายดำ ทำให้นายดำต้องเอาเงินทองมามอบให้นายแดง นายแดงกระทำความผิดตามข้อใด
1.
ชิงทรัพย์
2. ปล้นทรัพย์
3. รีดเอาทรัพย์
4. กรรโชกทรัพย์
181.
นายไก่โทรศัพท์มาขู่นางนกว่า ถ้านางนกไม่ยอมนำเงินไปให้ที่ป้ายรถเมล์พรุ่งนี้ตอนเที่ยง
จะมาฆ่าสามีและลูกให้ตายนางนกกลัวมากจึงเอาเงินไปให้ พฤติกรรมนายไก่มีความผิดตามกฎหมายอาญาฐานใด
1. กรรโชกทรัพย์
2. ชิงทรัพย์
3.
ขู่เอาทรัพย์
4.
รีดเอาทรัพย์
182. นายสมศักดิ์ฝากสร้อยไว้ที่นางชูศรี แต่นางชูศรีกลับเอาไปขายแล้วทำท่าทีเป็นว่าไม่รู้เรื่องใดๆทั้งสิ้น
พฤติกรรมเช่นนี้เข้าข่ายความผิดตามกฎหมายอาญาฐานใด
1. ยักยอกทรัพย์
2. รีดเอาทรัพย์
3.
กรรโชกทรัพย์
4. ลักทรัพย์
183.
นายขวดขู่นางแก้วว่าถ้าไม่ให้เงินแก่ตนจะไปบอกให้นายน้ำสามีของนางแก้วรู้ว่านางแก้วเคยได้เสียกับตนมาแล้ว
นายขวดมีความผิดฐานใด
1. ขู่เอาทรัพย์
2. ปล้นทรัพย์
3. รีดเอาทรัพย์
4. กรรโชกทรัพย์
184. ข้อใดเป็นความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์
1. ลักทรัพย์ของผู้อื่นโดยการฉกฉวยเอาซึ่งหน้า
2. ลักทรัพย์ของผู้อื่นแล้วหนีไป
3.
ชิงทรัพย์ของผู้อื่นจนได้ทรัพย์ของผู้นำไป
4. ยักยอกทรัพย์ของผู้อื่นแล้ววิ่งหนีไป
185.
นายโหดปืนจี้บังคับนางสวยปลดทรัพย์ให้ตน เมื่อนางสวยยอมให้ทรัพย์ก็กระโดดขึ้นมอเตอร์ไซค์ขับหนีไป
นายโหดมีความผิดตามกฎหมายอาญาฐานใด
1. ชิงทรัพย์
2. วิ่งราวทรัพย์
3. ปล้นทรัพย์
4.รีดเอาทรัพย์
186. นายดำขโมยโทรศัพท์เคลื่อนที่ของนายแดงไปใช้ ต่อมานายดำเปลี่ยนใจเอามาคืนให้นายแดงในดำมีความผิดหรือไม่
1.
ผิดฐานพยายามลักทรัพย์ต้องรับโทษ 2 ใน 3
2. ผิดฐานลักทรัพย์ต้องรับโทษตามกฎหมาย
3.
ไม่ผิดฐานลักทรัพย์พอได้นำคืนแล้ว
4. ไม่ผิดฐานพยายามรักษาพ่อแก้ไขเพื่อลบล้างความผิดแล้ว
187.
นายดำขโมยรถยนต์ของนายขาวไปหลังจากนั้น 2
วันในดำกับใจนำรถยนต์มาคืนได้ขาว นายดำจะมีความผิดใดหรือไม่
1. ผิดฐานลักทรัพย์
2. ผิดฐานละเมิด
3. ผิดฐานพยายามลักทรัพย์
4. ไม่มีความคิด
188. นายดำขายรถยนต์ให้นายแดงโดยโอนเงินให้เป็นชื่อนายแดง
แต่ยังไม่ได้ส่งมอบรถให้นายแดงในวันเดียวกันนายดำได้ขายรถและส่งมอบรถคันเดียวกันให้นายขาว
ดังนี้ใครมีสิทธิ์เป็นเจ้าของ
1. นายดำ
เพราะนายแดงและนายขาวยังไม่ได้ชำระราคา
2. นายแดงเพราะได้รับการโอนชื่อแล้ว
3. นายขาวเพราะได้รับรถยนต์มาอยู่ในครอบครองแล้ว
4.
นายแดงหรือนายขาว เเล้วเเต่จะตกลงกัน
189.
ผู้ที่เป็นสมาชิกของคณะบุคคลซึ่งปกปิดวิธีดำเนินการและมีความมุ่งหมายเพื่อการอันมิชอบด้วยกฎหมายจะมีความผิดฐานใด
1. อั้งยี่
2. ซ่องโจร
3. สมาคมลับ
4. มั่วสุม
190.
ความผิดฐานรับของโจรต้องเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดฐานต่างๆที่ระบุไว้ยกเว้นข้อใด
1. โกงเจ้าหนี้
2. ฉ้อโกง
3. ยักยอก
4. เจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์
191.
บุคคลที่เกี่ยวข้องในการกระทำความผิดอาญาคู่ใด ที่กฎหมายกำหนดให้รับโทษในอัตราเดียวกัน
1. ตัวการ-ผู้สนับสนุน
2. ผู้ลงมือกระทำความผิด-ผู้สนับสนุน
3.
ผู้ใช้-ผู้สนับสนุน
4. ผู้ใช้-ตัวการ
192.
ผู้ที่ใช้ให้ผู้อื่นกระทำความผิดจนสำเร็จต้องได้รับโทษอย่างไร
1. รับโทษเหมือนเป็นตัวการ
2. รับโทษมากกว่าตัวการ
3. รับโทษกึ่งหนึ่งของโทษสำหรับความผิดนั้น
4.
รับโทษ 2 ใน 3 ของโทษสำหรับความผิดนั้น
193.
การกระทำในข้อใดที่เข้าลักษณะของตัวการ
1. การร่วมกระทำในขั้นลงมือกระทำความผิด
2.
การร่วมกระทำความผิดสำเร็จแล้ว
3. การร่วมกระทำก่อนและหลังขณะกระทำความผิด
4. การร่วมกระทำขณะกระทำความผิดและหลังกระทำความผิด
194.
ผู้กระทำความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจะต้องระวางโทษในอัตราส่วนเท่าใดของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุน
1. 1 ใน
4 ส่วน
2. 1 ใน
3 ส่วน
3. 3 ใน
4 ส่วน
4. 2 ใน 3 ส่วน
195.
นายเขียวอายุ 16 ปี ได้เล่นการพนันฟุตบอลจนเป็นหนี้พนัน 1 ล้านบาท เจ้าหนี้ได้ทวงถามและข่มขู่เอาชีวิตหากไม่นำเงินมาชำระภายใน
7 วัน ด้วยความกลัวเจ้าหน้าที่ที่จะเอาชีวิต นายเขียวจึงจำเป็นต้องไปลักทรัพย์ในบ้านของนายฟ้ามูลค่า
1 ล้านบาทเมื่อได้ทรัพย์มาแล้ว นายเขียวรู้สึกสงสารเจ้าทรัพย์จึงลอบนำทรัพย์สินนั้นไปคืนไว้ที่เดิมเช่นนี้นายเขียวจะมีความผิดในทางกฎหมายอาญาประการใดหรือไม่เพราะเหตุใด
1. ไม่มีความผิดอาญา
เพราะเป็นการกระทำโดยจำเป็นเพื่อให้ตนพ้นจากภัยอันตรายใกล้จะถึง
2. ไม่มีความผิดทางอาญา
เพราะได้นำทรัพย์สินคืนแก่เจ้าของแล้ว
3. มีความผิดอาญาลักทรัพย์ เพราะนำเอาทรัพย์สินของผู้อื่นไปแล้ว
4. มีความผิดอาญาฐานลักทรัพย์
แต่ได้รับการยกเว้นโทษเพราะได้นำทรัพย์สินไปคืนแก่เจ้าของแล้ว
196. ข้อใดถือเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
1. เตรียมการฉุดคร่ำหญิงสาว
2. เตรียมการปล้นทรัพย์
3. เตรียมน้ำมันเบนซินและไม้ขีดไฟเพื่อวางเพลิง
4.
ลับมีดเพื่อเตรียมฆ่า
197.
นางสาวอ้วนกลุ้มใจน้ำหนักขึ้นทุกวัน อยากให้น้ำหนักลงอย่างรวดเร็วจึงไปหาแพทย์เพื่อดูดไขมันออกโดยที่แพทย์ยืนยันว่าปลอดภัย
ขณะที่ทำการดูดไขมันนางสาวอ้วนถึงแก่ความตายเพราะมีโรคแทรกซ้อน แพทย์จะได้รับความผิดหรือไม่อย่างไร
1. ผิดฐานฆ่าคนตายโดยเจตนา
2. ผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา
3. ผิดฐานฆ่าคนตายโดยประมาท
4. ไม่ผิดเพราะเป็นอุบัติเหตุ
198. การกระทำโดยประมาทเป็นการกระทำลักษณะใด
1. การกระทำที่ขาดความรอบคอบ
2. การกระทำที่ต้องการผลอย่างใดอย่างหนึ่ง
3. การกระทำที่ไม่มีเจตนา แต่ขาดความระมัดระวังในการกระทำ
4. การกระทำที่ไม่มีเจตนาแต่มีความระมัดระวังในการกระทำ
199.
กรณีใดผู้กระทำมีความผิดฐานฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา
1. ตั้งใจยิงยางรถแต่บังเอิญกระสุนพลาดไปถูกรถทำให้คนในรถถึงแก่ความตาย
2. ยิงนกเขาที่เกาะบนกิ่งไม้ใกล้นายหนุ่ม
โดยเห็นชัดว่ากระสุนอาจพลาดไปถูกนายหนุ่มตายได้แต่ก็ยังขืนยิงและกระสุนถูกนายหนุ่มตาย
3. ชกต่อยผู้ตายบริเวณหน้าแต่ผู้ตายล้มหงายหลังหมดสติศีรษะฟาดกับพื้นถนนกะโหลกศีรษะแตกถึงแก่ความตาย
4. ขับรถไปตามถนนด้วยความระมัดระวังอย่างดีบังเอิญเด็กวิ่งตัดหน้ารถในระยะกระชั้นชิดจึงชนเด็กตาย
200.
ตามหลักองค์ประกอบภายในความผิดอาญานั้นคำว่าความหมายหมายถึงข้อใด
1. ไม่ใช้ความระมัดระวังตามวิสัยและพฤติการณ์
2. ไม่ใช้ความระมัดระวังอย่างวิญญูชน
3. ไม่ใช้ความระมัดระวังอย่างผู้มีวิชาชีพ
4. ไม่ใช้ความระมัดระวังตามธรรมดา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น