1. ในการพิจารณากฎของอุปสงค์สินค้าชนิดใดชนิดหนึ่งกำหนดให้ปัจจัยใดเปลี่ยนแปลงได้
1. ราคาของสินค้าชนิดนั้น
2. รายได้ของผู้ซื้อสินค้าชนิดนั้น
3. การคาดคะเนราคาสินค้าในอนาคต
4. รสนิยมของผู้บริโภคสินค้าชนิดนั้น
2. ข้อใดอธิบายความสัมพันธ์ตามกฎของอุปสงค์
1. การที่ปริมาณเสนอซื้อแก๊สหุงต้มต่ำลงเป็นผลจากการประกาศขึ้นราคาแก๊สของรัฐ
2. การที่กลุ่มประเทศโอเปกเข้าควบคุมปริมาณการผลิตน้ำมันเป็นผลให้ราคาน้ำมันสูงขึ้น
3. การที่ผลไม้ชนิดอื่น
ๆได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติเป็นผลทำให้ราคาเงาะสูงขึ้น
4. การที่ปริมาณเสนอซื้อกาแฟ A ลดต่ำลงเป็นผลจากการที่ราคากาแฟ B ลดต่ำลง
3. ข้อความใดเป็นข้อความที่ถูกต้องโดยหลักเศรษฐศาสตร์
1. เนื่องจากจำนวนผู้ซื้อสินค้ามีมากขึ้นการเพิ่มจำนวนประชากรให้สูงขึ้นจึงมีผลทำให้อุปสงค์ต่อสินค้าเพิ่มมากขึ้น
2. เนื่องจากเป็นระบบที่มีการวางแผนจากส่วนกลางระบบสังคมนิยมจึงเป็นระบบที่ไม่มีปัญหาทางเศรษฐกิจ
3. เนื่องจากสังคมประกอบด้วยบุคคลต่างๆรวมเข้ากันด้วยแล้วผลประโยชน์ของสังคมจึงมีค่าสูงสุดเมื่อผลประโยชน์ของแต่ละบุคคลสูงสุด
4. เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างปริมาณซื้อกับสินค้าเป็นปฏิภาคส่วนกับเส้นอุปสงค์โดยปกติจึงเป็นเส้นที่ลากจากซ้ายลงมาทางขวา
1. ถ้าราคาสินค้าเพิ่มขึ้น ปริมาณการเสนอซื้อจะสูงขึ้น
2. ถ้าราคาสินค้าเพิ่มขึ้น ปริมาณการเสนอขายจะเพิ่มขึ้น
3. ถ้าราคาสินค้าเพิ่มขึ้น ปริมาณการเสนอซื้อจะลดลง
4. ถ้าราคาสินค้าเพิ่มขึ้น ปริมาณการเสนอขายจะลดลง
1. เมื่อผู้บริโภคมีความต้องการสินค้ามากขึ้น
ผู้ผลิตจะผลิตสินค้าออกจำหน่ายเพิ่มขึ้น
2. เมื่อภาวะเศรษฐกิจดีขึ้นผู้บริโภคจะใช้จ่ายเพิ่มขึ้น
3. เมื่อผู้บริโภคมีรายได้เพิ่มขึ้น จะมีความต้องการบริโภคสินค้าที่มีคุณภาพดีขึ้น
4. เมื่อราคาสินค้าลดลง ผู้บริโภคจะซื้อสินค้าในปริมาณมากขึ้น
1. แดงซื้อหนังสือเพราะต้องใช้เรียน
2. ดำซื้อเสื้อ 3 ตัวเพราะชอบสีสดใส
3. เขียวซื้อกระเป๋า 2 ใบเพราะร้านขายลดราคา
4. เหลืองซื้อโทรศัพท์ใหม่เพราะทันสมัยกว่าของเดิม
1. ลองกองปีนี้ราคาไม่แพงจึงนิยมซื้อมาบริโภคกันมาก
2. แก้วมังกรเป็นผลไม้สุขภาพที่คนนิยมรับประทานเกษตรจึงปลูกกันมาก
3. พ่อค้าส่งทุเรียนไปขายต่างประเทศมาก แต่ไม่ทำให้ราคาทุเรียนในประเทศแพงขึ้น
4. น้ำมันราคาแพง รัฐบาลจึงมีนโยบายรณรงค์ให้ประชาชนช่วยลดการใช้พลังงาน
1. นายสมชายตั้งใจจะเลิกสูบบุหรี่จึงเริ่มซื้อบุหรี่สูบน้อยลง
2. นายสมสุขซื้อทุเรียนบริโภคในโลกในปีนี้เพราะราคาแพงขึ้นกว่าเดิม
3. นายสมบูรณ์ต้องการมีรถยนต์แต่ไม่มีเงินพอจึงเก็บเงินสะสมไว้ซื้อในปีหน้า
4. นางสมศรีญาติจากต่างจังหวัดมาอาศัยอยู่ด้วยจึงต้องใช้จ่ายซื้ออาหารมากขึ้น
9. ถ้าเนื้อหมูและเนื้อวัวเป็นสินค้าที่ใช้แทนกันได้เป็นอย่างดีการที่ราคาเนื้อวัวลดลงจะเป็นเหตุทำให้เกิดอะไร
1. อุปสงค์ในเนื้อหมูลดลง
2. ราคาเนื้อหมูเพิ่มขึ้น
3. อุปสงค์ในเนื้อหมูเพิ่มขึ้น
4. อุปทานในเนื้อวัวเพิ่มขึ้น
10. ข้อใดก่อให้เกิดอุปสงค์ต่อสินค้า
1. นาย ก มีเงิน 30,000 บาทเพียงพอที่จะซื้อตู้เย็นรุ่นใหม่ได้แต่เนื่องจากมีของเดิมอยู่แล้ว
จึงเลื่อนการซื้อออกไปก่อน
2. นาย ข มีเงิน 20,000 บาทต้องการซื้อโทรศัพท์มือถือในราคา 30,000 บาทจึงขอให้มีการลดราคาเสียก่อน
3. นาย ค ไม่มีเงินสดเพียงพอที่จะซื้อรถยนต์ซึ่งมีราคา 900,000 จึงตกลงซื้อในระบบเงินผ่อน
4. นาย ง กำลังเก็บเงินเพื่อซื้อแหวนหมั้นในราคา 100,000 บาท
11. ในทางทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ถ้าเสื้อเชิ้ตเป็นเสื้อปกติการที่ในก่อนซื้อเสื้อเชิ้ตเพิ่มมากขึ้นกว่าที่เคยซื้อในรอบ 1 ปีอาจเกิดจากสาเหตุใด
1.
ราคาเสื้อเชิ้ตเพิ่มสูงขึ้น
2. รายได้ของนาย
ก ลดต่ำลง
3. รสนิยมของนาย
ก เปลี่ยนไปใช้เสื้อเชิ้ตมากขึ้น
4. ราคาเสื้อเชิ้ตและรายได้ของนาย
ก เพิ่มสูงขึ้น
12. เส้นอุปสงค์ต่อสินค้าจะบอกให้รู้สิ่งต่างๆต่อไปนี้ยกเว้นข้อใด
1. จำนวนสินค้าที่ผู้บริโภคซื้อได้จากเงินทั้งหมดที่มีอยู่
2. ราคาสูงสุดที่ผู้บริโภคยินดีจ่ายสำหรับสินค้าแต่ละหน่วย
3. จำนวนเงินที่ผู้บริโภคต้องจ่ายสำหรับการซื้อสินค้าแต่ละจำนวน
4. ความพอใจสูงสุดที่ผู้บริโภคได้รับจากสินค้าแต่ละหน่วย
1. เมื่อปริมาณเสนอซื้อสินค้าชนิดหนึ่งเพิ่มขึ้น
ปริมาณเสนอขายสินค้าชนิดนั้นจะเพิ่มขึ้น
2. เมื่อปัจจัยที่ใช้ในการผลิตสินค้าชนิดหนึ่งเพิ่มขึ้น
ปริมาณเสนอขายสินค้าชนิดนั้นจะเพิ่มขึ้น
3. เมื่อราคาสินค้าชนิดหนึ่งสูงขึ้น ปริมาณเสนอขายสินค้าชนิดนั้นจะเพิ่มขึ้น
4. เมื่อรายได้ของผู้บริโภคสูงขึ้น ปริมาณเสนอขายสินค้าจะเพิ่มขึ้น
1. ผู้ผลิตจะผลิตสินค้าออกจำหน่ายเพิ่มขึ้น ถ้าผู้บริโภคมีความต้องการมากขึ้น
2. ผู้ผลิตจะผลิตสินค้าออกจำหน่ายเพิ่มขึ้น ถ้าราคาสินค้าสูงขึ้น
3. ผู้ผลิตจะผลิตสินค้าออกจำหน่ายเพิ่มขึ้น ถ้าราคาปัจจัยการผลิตลดลง
4. ปริมาณการผลิตสินค้าจะผันแปรตามความต้องการของผู้บริโภคและราคาปัจจัยการผลิต
15. การเปลี่ยนแปลงของสินค้าในข้อใดเป็นไปตามกฎของอุปทาน
1. ผลิตผลผักลดลงมากเพราะอุทกภัยทำให้สวนผักเสียหาย
ราคาผักจึงสูงขึ้น
2. ราคาน้ำมันปาล์มสูงขึ้น
พ่อค้าจึงสั่งน้ำมันปาล์มจากต่างประเทศเข้ามาขายมากขึ้น
3. ยอดจำหน่ายน้ำส้มคั้นสูงขึ้นเพราะมีผู้นิยมบริโภคเพิ่มขึ้น
4. บ้านจัดสรรปรับราคาสูงขึ้น
เพราะต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้น
16. สาเหตุข้อใดไม่ทำให้ราคาไอศกรีมกะทิสูงขึ้น
1. อากาศมีอุณหภูมิสูงขึ้นมาก
2. ผลผลิตมะพร้าวล้นตลาด
3. มีการควบคุมมาตรฐานการผลิตไอศกรีม
4. เด็กวัยรุ่นนิยมรับประทานไอศกรีมมากขึ้น
17. ปัจจัยอะไรที่มีอิทธิพลต่อความต้องการเสนอขายของผู้ผลิต
1. จำนวนประชากร
2. รายได้ของบุคคล
3. การเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล
4. แฟชั่นตามสมัยนิยม
18. อาศัยกฎของอุปทาน
อุปทานของเครื่องปรับอากาศสัมพันธ์กับปัจจัยใด
1. ราคาเครื่องปรับอากาศ
2. ภาษีสรรพสามิต
3. ต้นทุนการผลิต
4. จำนวนผู้ผลิต
19. ภาวะดุลยภาพของตลาดจะเกิดขึ้นเมื่อใด
1. จำนวนผู้ซื้อเท่ากับจำนวนผู้ขาย
2. ปริมาณเสนอซื้อสมดุลกับราคาเสนอขาย
3. อุปสงค์ส่วนเกินและอุปทานส่วนเกินมีค่าเท่ากับศูนย์
4. ผู้ซื้อสามารถซื้อสินค้าได้ตามจำนวนที่ต้องการ
20. ราคาดุลยภาพ
(equilibrium Price) หมายถึงข้อใด
1. ราคาที่ทำให้อุปสงค์ส่วนเกินและอุปทานส่วนเกินมีค่ามากกว่าศูนย์
2. ราคาที่ทำให้ปริมาณเสนอซื้อเท่ากับราคาเสนอขาย
3. ราคาที่เป็นธรรมต่อทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย
4. ราคาที่มีการซื้อขายเกิดขึ้นจริง
21. ราคาที่ทำให้ปริมาณอุปสงค์มากกว่าปริมาณอุปทานคือราคาใด
1. ราคาดุลยภาพ
2. ราคาที่ต่ำกว่าดุลยภาพ
3. ราคาตลาด
4. ราคาที่สูงกว่าดุลยภาพ
22.
ข้อใดทำให้เกิดอุปสงค์ส่วนเกินขึ้น
1. ปริมาณการผลิตสินค้าเพิ่มขึ้น
2. ผู้บริโภคมีความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้น
3. จำนวนผู้ผลิตสินค้าลดลง
4. ราคาสินค้าต่ำกว่าราคาดุลยภาพ
23. ถ้าจุด a อยู่บนเส้นอุปสงค์ และอยู่ใต้จุดดุลยภาพ โดยกำหนดให้เส้นอุปทานคงที่
ข้อใดเป็นคำอธิบายจุด a ได้ดีที่สุด
1. ปริมาณเสนอขายจะลดลง
ปริมาณเสนอซื้อจะเพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มที่สินค้าจะเหลือ
2. ปริมาณเสนอขายจะเพิ่มขึ้น
ปริมาณเสนอซื้อจะลดลง และมีแนวโน้มที่สินค้าจะเหลือ
3. ปริมาณเสนอขายจะลดลง
ปริมาณเสนอซื้อจะเพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มที่สินค้าจะขาดแคลน
4. ปริมาณเสนอขายจะเพิ่มขึ้น
ปริมาณเสนอซื้อจะลดลง และมีแนวโน้มที่สินค้าจะขาดแคลน
24. ภาวะที่เกิดอุปสงค์ส่วนเกินถ้าราคาสินค้าเพิ่มขึ้นส่งผลให้เกิดอะไร
1. ปริมาณเสนอซื้อลดลง
2. ปริมาณเสนอขายมีมากกว่าปริมาณเสนอซื้อ
3. ปริมาณเสนอซื้อมีน้อยกว่าปริมาณเสนอขาย
4. ปริมาณเสนอขายมีมากกว่าปริมาณเสนอซื้อที่จุดดุลยภาพ
25. เมื่อเกิดมีอุปสงค์ส่วนเกินในตลาด
ตลาดจะมีการปรับตัวอย่างไร
1. ราคาสินค้าจะสูงขึ้น
ปริมาณเสนอซื้อจะลดลง ปริมาณเสนอขายจะสูงขึ้น
2. ราคาสินค้าจะสูงขึ้น
ปริมาณเสนอซื้อจะสูงขึ้นปริมาณเสนอขายจะลดลง
3. ราคาสินค้าจะลดลง
ปริมาณเสนอซื้อจะลดลง ปริมาณเสนอขายจะสูงขึ้น
4. ราคาสินค้าจะลดลง
ปริมาณเสนอซื้อจะสูงขึ้น ปริมาณเสนอขายจะลดลง
26. ข้อความใดไม่ถูกต้อง
1. ปริมาณเสนอขอและปริมาณเสนอขาย
จะเป็นตัวปรับราคาสินค้าที่ไม่สมดุลให้เข้าสู่ดุล
2. ราคาเสนอซื้อและราคาเสนอขาย
จะเป็นตัวปรับปริมาณสินค้าที่ไม่สมดุลให้เข้าสู่ดุล
3. อุปสงค์ส่วนเกินและอุปทานส่วนเกิน
จะเป็นตัวปรับราคาสินค้าที่ไม่สมดุลให้เข้าสู่ดุล
4. อุปสงค์ส่วนเกินจะเป็นตัวปรับราคาสินค้าที่ไม่สมดุล
และอุปทานส่วนเกินจะเป็นตัวปรับปริมาณสินค้าที่ไม่สมดุลให้เข้าสู่ดุล
27. ข้อใดแสดงถึงการทํางานของกลไกราคา
1. การลดลงของราคาสินค้า เมื่อเกิดอุปสงค์ส่วนเกิน
2. การลดลงของราคาสินค้า เมื่อเกิดอุปทานส่วนเกิน
3. การลดลงของปริมาณการผลิต เมื่อเกิดอุปสงค์ส่วนเกิน
4. การลดลงของราคาและปริมาณการผลิตพร้อมๆ กัน เมื่อเกิดอุปสงค์ส่วนเกิน
28. การที่ราคาสูงกว่าราคาดุลยภาพจะส่งผลอย่างไร
เพราะเหตุใด
1. ราคาลดลง
เพราะเกิดอุปทานส่วนเกิน
2. ราคาเพิ่ม
เพราะเกิดอุปสงค์ส่วนเกิน
3. ราคาดุลยภาพลด
เพราะเกิดอุปทานส่วนเกิน
4. ราคาดุลยภาพลด
เพราะเกิดอุปสงค์ส่วนเกิน
29. การที่กระเทียมจากประเทศจีนทะลักเข้ามาในประเทศไทยจํานวนมากจะทําให้
ตลาดกระเทียมในประเทศไทยเปลี่ยนไปอย่างไร
1. ราคาดุลยภาพเพิ่มขึ้น ปริมาณดุลยภาพเพิ่มขึ้น
2. ราคาดุลยภาพคงเดิม ปริมาณดุลยภาพลดลง
3. ราคาดุลยภาพลดลง ปริมาณดุลยภาพเพิ่มขึ้น
4. ราคาดุลยภาพเพิ่มขึ้น ปริมาณดุลยภาพลดลง
30. การใช้จ่ายอุปโภคบริโภคขึ้นอยู่กับปัจจัยข้อใดน้อยที่สุด
1. ทรัพย์สินของผู้บริโภค
2. การโฆษณา
3. การเลียนแบบตามแฟชั่น
4. ต้นทุนการผลิต
31. การที่ผู้บริโภคตัดสินใจผิดพลาดในการซื้อสินค้า
เกิดจากอิทธิพลของข้อใดมากที่สุด
1. การได้รับแจกสินค้าตัวอย่าง
2. การสาธิตวิธีการใช้สินค้า
3. การแนะนําของเพื่อน
4. การโฆษณาผ่านสื่อต่างๆ
32. ปัจจัยข้อใดจะส่งผลให้เจ้าของธุรกิจตัดสินใจเพิ่มปริมาณการผลิต
1. ราคาของสินค้าที่ทดแทนกันได้ลดต่ำลง
2. ราคาของวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตลดต่ำลง
3. อัตราค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำเพิ่มขึ้น
4. อัตราดอกเบี้ยเงินกู้เพื่อการลงทุนเพิ่มขึ้น
33. ผู้บริโภคที่ฉลาดและเท่าทัน ควรตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าและบริการโดยใช้หลักเกณฑ์ใด
1. เลือกซื้อสินค้าที่สามารถต่อรองราคาได้ต่ำที่สุด
2. เลือกซื้อสินค้าโดยพิจารณาจากกระแสนิยมของสังคม
3. เลือกซื้อสินค้าที่มีการรับประกันและมีบริการหลังการขาย
4. เลือกซื้อสินค้าที่ตอบสนองความพึงพอใจมากที่สุด
34. กรณีใดทําให้ราคาข้าวสารในตลาดปรับตัวสูงขึ้น
1. อุปสงค์ต่อข้าวสารน้อยกว่าอุปทานของข้าวสาร
2. อุปสงค์ต่อข้าวสารมากกว่าอุปทานของข้าวสาร
3. อุปทานส่วนเกินของข้าวสารมากกว่าอุปสงค์ส่วนเกินต่อข้าวสาร
4. อุปทานส่วนเกินของข้าวสารเพิ่มขึ้นมากกว่าอุปสงค์ส่วนเกินต่อข้าวสาร
35. เมื่อมีอุปทานส่วนเกินเกิดขึ้น ณ.
ระดับราคาที่เป็นอยู่ในตลาด การขจัดอุปทานส่วนเกินจะทําได้ในกรณีใด
1. เพิ่มราคาสินค้า
2. เพิ่มปริมาณเสนอขาย
3. ลดราคาสินค้า
4. เพิ่มปริมาณเสนอซื้อ
36. เหตุใดรัฐบาลต้องกําหนดค่าจ้างขั้นต่ำ
1. เพราะไม่ต้องการให้เกิดปัญหาขาดแคลนแรงงาน
2. เพราะไม่ต้องการให้เกิดอุปทานส่วนเกินของแรงงาน
3. เพราะต้องการให้ระดับค่าจ้างสูงกว่าระดับดุลยภาพ
4. เพราะต้องให้กลไกราคาทำงานได้อย่างสมบูรณ์
37. เพราะเหตุใดรัฐบาลจึงกําหนดราคาขั้นสูงของน้ำมันถั่วเหลืองในตลาด
1. เพราะไม่ต้องการให้มีการใช้ถั่วเหลืองผลิตน้ำมันมากเกินไป
จนทําให้ถั่วเหลืองมีราคาสูงกว่าราคาที่สมดุก
2. เพราะไม่ต้องการให้ผู้ผลิตเพิ่มปริมาณการผลิตน้ำมันถั่วเหลืองมากกว่าความต้องการของผู้บริโภค
3. เพราะต้องการให้ผู้ผลิตเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตแทนการหากําไรโดยตั้งราคาขายสูง
4. เพราะต้องการให้ผู้บริโภคซื้อน้ำมันถั่วเหลืองในราคาที่ต่ำกว่าดุลยภาพ
38. การปรับค่าจ้างขั้นผ่าสูงขึ้น
จะทําให้เกิดผลกระทบต่อตลาดแรงงานอย่างไร
1. ระดับค่าจ้างตุลยภาพต่ำลง
2. อุปทานแรงงานส่วนเกินเพิ่มขึ้น
3. ความต้องการจ้างงานเพิ่มขึ้น
4. ปัญหาการขาดแคลนแรงงานลดลง
ปัญหาการว่ายาน
39. ข้อใดไม่ใช่ผลกระทบจากการกําหนดค่าจ้างขั้นต่ำของรัฐบาล
1. อุปทานสินค้ามีแนวโน้มลดลง
2. อุปทานแรงงานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
3. อุปสงค์สินค้ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
4. อุปสงค์แรงงานมีแนวโน้มลดลง
1. อุปสงค์แรงงานส่วนเกิน และนายจ้างจะจ้างแรงงานได้มากกว่า 100,000 คน
2. อุปทานแรงงานส่วนเกิน และนายจ้างจะจ้างแรงงานได้มากกว่า 100,000 คน
3. อุปสงค์แลงานส่วนเกิน และนายจ้างจะจ้างแรงงานได้น้อยกว่า 100,000 คน
4. อุปทานแรงงานส่วนเกิน และนายจ้างจะจ้างแรงงานได้น้อยกว่า 100,000 คน
1. โรงงานน้ำตาลจะซื้ออ้อยได้ในราคาที่ต่ำกว่าราคาดุลยภาพ
2. รัฐบาลจะต้องรับซื้ออ้อยส่วนเกินจากชาวไร่อ้อย
3. โรงงานน้ำตาลจะรวมตัวกันที่รองราคารับซื้ออ้อยใน
4. ชาวไร่อ้อยจะต้องจัดสรรโควตาขายให้โรงงานน้ำตาล
42. ราคาที่ชาวไร่มันสําปะหลังเรียกร้องให้รัฐบาลรับประกัน
1. ราคาดุลยภาพที่สูงกว่าราคาที่เจ้าของลานมันต้องการ
2. ราคาดุลยภาพที่สูงกว่าราคาที่เกษตรกรต้องการขาย
3. ราคาที่มีอุปสงค์ส่วนเกิน
4. ราคาที่มีอุปทานส่วนเกิน
43. นโยบายประกันราคาข้าวของรัฐบาลช่วยแก้ปัญหาข้อใด
1. ความเสมอภาค
2. การกระจายรายได้
3. เสถียรภาพทางเศรษฐกิจ
4. ประสิทธิภาพทางการผลิต
44. ข้อใดคือเหตุผลที่ทําให้รัฐบาลเข้ามาควบคุมราคาขายสินค้า
ก.
1. เพราะต้องการให้ราคาขายต่ำกว่าราคาดุลยภาพ
2. เพราะต้องการให้ต้นทุนการผลิตสินค้า ก. ลดลง
3. เพราะต้องการลดอุปสงค์สินค้าก. ในตลาด
4. เพราะต้องการให้เกิดความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทานของสินค้า ก.
45. ข้อใดคือผลของการที่รัฐบาลประกาศให้ราคาน้ำมันลอยตัว
1. ทําให้ราคาน้ำมันมีเสถียรภาพมากขึ้น ไม่เกิดปัญหาขาดแคลนน้ำมัน
2. ทําให้ผู้ขายสามารถกําหนดราคาน้ำมันที่ทําให้ตนเองมีกําไรตามที่ต้องการได้
3. ทําให้ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นลงได้ตามสภาพของตลาด
4. ทําให้ผู้บริโภคปรับการซื้อน้ำมันให้สอดคล้องกับราคาน้ำมันได้
46.การที่รัฐบาลออกกฎกระทรวงบังคับให้โรงงานอุตสาหกรรมน้ำตาลทรายต้องมีเครื่องบำบัดน้ำเสียจะส่งผลกระทบต่อราคาและปริมาณดุลยภาพของน้ำตาลทรายอย่างไร
1. ทั้งราคาและปริมาณดุลยภาพลดลง
2. ทั้งราคาและปริมาณดุลยภาพเพิ่มขึ้น
3. ราคาดุลยภาพลดลง
แต่ปริมาณดุลยภาพเพิ่มขึ้น
4. ราคาดุลยภาพเพิ่มขึ้น
แต่ปริมาณดุลยภาพลดลง
47. เพราะเหตุใดจึงต้องมีการคุ้มครองผู้บริโภค
1. ผู้บริโภคใช้จ่ายอย่างไม่ประหยัด
2. ผู้ผลิตผลิตสินค้าโดยไม่คํานึงถึงตลาด
3. ตลาดมีการแข่งขันไม่สมบูรณ์
4. รัฐต้องการให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าในราคาต่ำ
48. เหตุใดจึงต้องมีการคุ้มครองผู้บริโภค
1. ให้ผู้บริโภคมีโอกาสเลือกซื้อสินค้าตามที่ต้องการ
2. ให้ผู้บริโภคมีโอกาสเลือกซื้อสินค้าในราคาถูก
3. ให้ผู้บริโภคได้รับความพอใจในการบริโภค
4. ให้ผู้บริโภคได้รับความปลอดภัยในการบริโภค
49.ข้อความใดเป็นไปตามกฎอุปสงค์
1. เมื่อราคาปลาทูกิโลกรัมละ 8 บาท ผู้บริโภคต้องการเสนอซื้อปลาทู 5 กิโลกรัมผู้ขายปลาทูต้องการเสนอขาย 1 กิโลกรัม
2. เมื่อราคาปลาทูกิโลกรัมละ 8 บาท ผู้ขายต้องการเสนอขายปลาทู 1 กิโลกรัม
3. เมื่อราคาปลาทูกิโลกรัมละ 8 บาท ผู้บริโภคต้องการเสนอซื้อปลาทู 1 กิโลกรัมเมื่อราคาปลาทูกิโลกรัมละ 12 บาท ผู้บริโภคต้องการซื้อปลาทู 4 กก.
4. เมื่อราคาปลาทูกิโลกรัมละ 8 บาท ผู้บริโภคต้องการเสนอซื้อปลาทู5 กิโลกรัม
เมื่อราคาปลาทูกิโลกรัมละ 12 บาท
ผู้บริโภคต้องการซื้อปลาทู 4 กิโลกรัม
50. เมื่อระดับราคาปลาทูกิโลกรัมละ 12 บาท ผู้เสนอขายปลาทูต้องการเสนอขายปลาทูกี่กิโลกรัม
1. 1 กิโลกรัม
2. 2 กิโลกรัม
3. 4 กิโลกรัม
4. 6 กิโลกรัม
51. ที่ระดับราคาปลาทูกิโลกรัมละ 25 บาท จะเกิดผลอะไร
1. ปริมาณความต้องการเสนอซื้อ 6 กิโลกรัม ความต้องการเสนอขาย 2 กิโลกรัมมีปลาทูขาดแคลน 4 กิโลกรัม
2. ปริมาณความต้องการเสนอซื้อ 6 กิโลกรัม ความต้องการเสนอขาย 2 กิโลกรัมมีปลาทูเหลือ 4 กิโลกรัม
3. ปริมาณความต้องการเสนอซื้อ 2 กิโลกรัม ความต้องการเสนอขาย 6 กิโลกรัม
มีปลาทูเหลือ 4 กิโลกรัม
4. ปริมาณความต้องการเสนอซื้อ 2 กิโลกรัม ความต้องการเสนอขาย 6 กิโลกรัมมีปลาทูขาดแคลน 4 กิโลกรัม
52. ระดับราคาและปริมาณของปลาทูในระดับดุลยภาพเป็นอย่างไร
1. ราคากิโลกรัมละ 4 บาท ปริมาณ 12 กิโลกรัม
2. ราคากิโลกรัมละ 8 บาท ปริมาณ 1 กิโลกรัม
3. ราคากิโลกรัมละ 8 บาท ปริมาณ 5 กิโลกรัม
4. ราคากิโลกรัมละ 12 บาท ปริมาณ 4 กิโลกรัม
53. ข้อใดคือการกําหนดราคาขั้นต่ำของรัฐบาล
1. การควบคุมราคาค่าโดยสารรถประจําทางในช่วงเทศกาลปีใหม่
2. การควบคุมราคาสัตว์ปีกในช่วงเทศกาลตรุษจีน
3. การรับจํานองมันสําปะหลังในช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยว
4.การกําหนดราคามิเตอร์ของรถแทกซี่ใน 3 กิโลเมตรแรก
54.นางสมศรีซื้อน้ำตาลทราย 5 ถุง ขนาดบรรจุถุงละ 1 กิโลกรัมจากห้างสะดวกซื้อแห่งหนึ่ง
แต่เมื่อกลับไปบ้านและทดสอบชั่งน้ำหนักใหม่ ปรากฏว่ามีน้ำตาลทราย 2 ถุง มีน้ำหนักเพียง 0.8 กิโลกรัมเท่านั้น
นางสมศรีต้องการรักษาสิทธิของตน
จะต้องนําเรื่องและหลักฐานไปร้องเรียนหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงหน่วยงานใด
1. สํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค
2. สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา
3. สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม
4. กรมการค้าภายใน
55. ข้อใดไม่ใช่สิทธิของผู้บริโภคที่จะได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติคุ้มครอง
ผู้บริโภค
1. สิทธิได้รับการโฆษณาและแสดงฉลากตามความเป็นจริง
2. สิทธิจะได้รับพิจารณาและชดเชยความเสียหาย
3. สิทธิในการจําหน่ายสินค้าที่มีความปลอดภัยได้โดยเสรี
4. สิทธิในการเลือกซื้อสินค้าบริการตามความสมัครใจและเป็นธรรม
56. ผู้ผลิตเครื่องสําอางในข้อใดไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติเครื่องสําอาง
พ.ศ.2535
1. เครื่องสําอางที่ใช้ชื่อไม่เหมาะสมกับวัฒนธรรมอันดีงามของไทย
2. เครื่องสําอางที่ใช้ส่วนประกอบมากกว่าที่ระบุไว้ในฉลาก
3. เครื่องสําอางที่ระบุราคาขายสูงกว่าราคาสินค้าชนิดเดียวกัน
4. เครื่องสําอางที่ระบุชื่อผู้ผลิต แต่ไม่มีสถานที่ผลิต
1. การได้ซื้อสินค้าในราคาที่เป็นธรรม
2. การได้รับค่าชดเชยความเสียหาย
3. การได้รับความปลอดภัยจากการใช้บริการ
4. การได้รับข่าวสารรวมทั้งคําพรรณนาคุณภาพที่ถูกต้อง
58. ผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองฉลากเขียวแสดงว่าผลิตภัณฑ์นั้นผ่านการประเมินใด
1. มาตรฐานความปลอดภัยด้านอาหาร
2. มาตรฐานคุณภาพและสิ่งแวดล้อม
3. มาตรฐานคุณภาพและความปลอดภัยด้านอาหาร
4. มาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม
59. ข้อใดตรงกับความหมายของ “รายได้ประชาชาติ”
1. รายได้จากผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติในรอบ 1 ปี
2. รายได้รวมจากปัจจัยที่ทําการผลิตของชาติในรอบ 1 ปี
3. รายได้รวมจากการขายสินค้าและบริการของชาติในรอบ 1 ปี
4. รายได้จากแรงงานและผลตอบแทนของผู้ประกอบการของประชาชนในชาติในรอบ 1 ปี
60. ข้อใดอธิบายความหมายของรายได้ประชาชาติของประเทศไทยในรอบปีใดปีหนึ่งได้ถูกต้องที่สุด
1. ผลรวมของรายได้ของคนไทยที่อยู่ในประเทศไทยในรอบปีนั้น
2. ผลรวมรายได้ของบุคคลต่างๆ
ที่อยู่ในประเทศไทยในรอบปีนั้น
3. ผลรวมของค่าเช่า
ดอกเบี้ย ค่าจ้าง และกําไรที่คนไทยได้รับในปีนั้น
4. ผลรวมของมูลค่าผลผลิตที่คนไทยสามารถก่อให้เกิดขึ้นได้ในรอบปีนั้น
61. รายได้เฉลี่ยต่อหัว
(PCI: Per Capita Income) หมายถึงข้อใด
1. รายได้ทั้งหมดหารด้วยประชากรทั้งหมด
2. รายได้ทั้งหมดหารด้วยประชากรที่อยู่ในวัยทํางาน
3. รายได้ทั้งหมดหารด้วยประชากรที่ทํางานและมีรายได้
4. รายได้ทั้งหมดหารด้วยประชากรทั้งหมดยกเว้นคนว่างงาน
62. ผลิตภัณฑ์ประชาชาติเบื้องต้น [GROSS
NATIONAL PRODUCT: GNP] คือข้อใด
1. มูลค่าของสินค้าและบริการที่ผลิตได้ภายในประเทศ
2. มูลค่าของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตได้ในระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง
3. ปริมาณของสินค้าและบริการที่ผลิตได้ภายในประเทศ
4. ปริมาณของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตได้ในระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง
63. ผลิตภัณฑ์ประชาชาติ
[GNP] คือข้อใด
1. มูลค่า
ณ ราคาตลาดของสินค้าและบริการที่ผลิตขึ้นในประเทศในรอบหนึ่งปี
2. มูลค่า
ณ ราคาตลาดของสินค้าและบริการที่ผลิตขึ้นด้วยทรัพยากรไทยในรอบหนึ่งปี
3. มูลค่า
ณ ราคาตลาดของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตขึ้นด้วยทรัพยากรไทยในรอบหนึ่งปี
4. มูลค่า
ณ ราคาคงที่ของสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายที่ผลิตขึ้นในประเทศในรอบหนึ่งปี
64. ผลิตภัณฑ์ประชาชาติเบื้องต้น
[GNP] ของไทยคือข้อใด
1. มูลค่าปัจจัยการผลิตที่ใช้ผลิตสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายในประเทศไทยเท่านั้น
2. มูลค่าสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายและบริการขั้นสุดท้ายผลิตโดยทรัพยากรไทย
ซึ่งผลิตในประเทศไทยเท่านั้น
3. มูลค่าสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายผลิตโดยทรัพยากรไทย
ซึ่งผลิตในประเทศไทยหรือต่างประเทศก็ได้
4.มูลค่าสินค้าและบริการขั้นสุดท้ายผลิตโดยประชากรของประเทศใดก็ได้
แต่ต้องผลิตในเขตแดนไทย
65. กิจกรรมทางเศรษฐกิจประเภทใดที่นับอยู่ในผลิตภัณฑ์ประชาชาติ
1. ปลูกผักสวนครัว เพื่อรับประทานในครัวเรือน
2. เส้นไหมที่เกษตรกรผลิตได้
3. รับจ้างกวาดถนนให้กับเทศบาล
4. เป็นเจ้ามือหวยเถื่อน
66. รายรับใดไม่เป็นส่วนหนึ่งของรายได้ประชาชาติ
1. เงินได้ของนาย ก. จากการไปทํางานในต่างประเทศ
2. เงินได้ของนาย ข. จากการทํางานเป็นบริกรในโรงแรม
3. เงินได้ของนาย ค. จากการให้โรงงานเช่าที่ดินมรดก
4. เงินได้ของนาย ง. จากการให้พ่อค้ากู้ยืมเงิน
67. ข้อใดเป็นส่วนหนึ่งของรายได้ประชาชาติ
1. เงินบํานาญข้าราชการ
2. ค่าโดยสารรถประจําทาง
3. รางวัลที่ได้จากสลากกินแบ่งรัฐบาล
4. ดอกเบี้ยจากเงินฝากธนาคาร
68. รายการใดที่นํามาคิดรวมในรายได้ประชาชาติ
1. เงินค่านายหน้าจากการเป็นตัวแทนขายกรมธรรม์ประกันชีวิตจํานวน 20,000 บาท
2. เงินค่าขายบ้านและที่ดินที่ได้รับมรดกมาเป็นมูลค่า 5 ล้านบาท
3. เงินจากการจับเด็กไปเรียกค่าไถ่จํานวน 300,000 บาท
4. เงินรางวัลที่จ่ายให้ผู้ถูกสลากกินแบ่งรัฐบาลจํานวน 50,000 บาท
69. ข้อใดนับรวมอยู่ในผลิตภัณฑ์ในประเทศเบื้องต้น
(GDP) ของประเทศไทย
1. นายทองดีได้รับเงิน 3,500 บาท
จากเจ้าของสุนัขที่นําสุนัขมาฝากเลี้ยง
2. นายชูวิทย์จ่ายเงิน 100,000 บาท
ซื้อหุ้นสามัญธนาคารพาณิชย์ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
3. มารดาให้เงินบุตรเพิ่มขึ้นอีกเดือนละ 500 บาท
ตามค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น
4. รัฐบาลอนุมัติให้จ่ายเงิน 100 ล้านบาท
ช่วยผู้ประสบอุทกภัยในจังหวัดต่างๆ
70. รายการใดต่อไปนี้ไม่รวมไว้ในการคํานวณผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ
(GDP) ของไทย
1. รัฐบาลไทยส่งเงินไปช่วยบรรเทาทุกข์ในบังกลาเทศ
2. กลุ่มเกษตรกรเพชรบุรีส่งกุ้งกุลาดําไปขายประเทศญี่ปุ่น
3. มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์จากสหรัฐอเมริกา
4. นักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์จ่ายเงินซื้อบัตรเข้าไปเที่ยวชมสวนสัตว์ดุสิต
71. ผลิตภัณฑ์มวลรวมของชาติ
(GNP) และผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP)จะแตกต่างกันเท่ากับมูลค่าของรายการใด
1. รายได้ของชาวต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในประเทศ
2. รายได้จากการไปทํางานในต่างประเทศ
3. รายได้จากการลงทุนในต่างประเทศ
4. รายได้สุทธิจากต่างประเทศ
1. GNP
GDP + F - T
2. GDP
= GNP + F 4 T
3. GNP
= GDP - F - T
4. GDP
= GNP + F - T
73. ถ้าในรอบปีหนึ่งผลิตภัณฑ์ในประเทศเบื้องต้น
[GDP) ของประเทศไทยมีมูลค่าเท่ากับ 500 ล้านบาท มีชาวต่างประเทศเข้ามาประกอบกิจการในประเทศไทยได้รับรายได้ 50 ล้านบาท มีคนไทยไปทํางานในต่างประเทศได้รับรายได้ 30 ล้านบาท และ มีค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์ของประเทศเท่ากับ 10 ล้านบาท ผลิตภัณฑ์ประชาชาติเบื้องต้น [GNPJ เท่ากับข้อใด
1. 420 ล้านบาท
2. 450 ล้านบาท
3. 470 ล้านบาท
4. 480 ล้านบาท
1. 1,800 ล้านบาท
2. 1,700 ล้านบาท
3. 1,800 ล้านบาท
4. 1,000 ล้านบาท
1. 420 ล้านบาท
2. 480 ล้านบาท
3. 520 ล้านบาท
4. 580 ล้านบาท
1. 1,000 ล้านบาท
2. 940 ล้านบาท
3. 900 ล้านบาท
4. 840 ล้านบาท
77. ถ้าเปรียบเทียบผลิตภัณฑ์ประชาชาติเบื้องต้น
(GNP) กับกับผลิตภัณฑ์ในประเทศเบื้องต้น [GDP] ในปีเดียวกันของประเทศไทยในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา
ข้อใดถูกต้อง
1. GNP มากกว่า GDP ทุกปี
2. GNP น้อยกว่า GDP ในบางปี
3. GNP น้อยกว่า GDP ทุกปี
4. GNP มากกว่า GDP ในบางปี
78. ถ้ารายได้จากการลงทุนในต่างประเทศของคนไทยน้อยกว่ารายได้ของชาวต่างชาติที่มาลงทุนในประเทศไทย
จะเกิดผลอย่างไร
1. ประเทศไทยจะมีดุลบัญชีทุนสูงกว่าดุลบัญชีเดินสะพัด
2. ประเทศไทยจะมี GDP ลดลง
3. ประเทศไทยจะมีการลงทุนในประเทศสูงขึ้น
4. ประเทศไทยจะมี GDP สูงกว่า GNP
79. สาขาของบริษัทญี่ปุ่นแห่งหนึ่งประกอบธุรกิจในประเทศไทยมีกําไรในรอบปีที่แล้ว
จํานวน 10 ล้านบาท
ซึ่งยังมิได้มีการโอนให้บริษัทแม่ กําไรดังกล่าวจะรวมอยู่ในรายการใด
1. ผลิตภัณฑ์ในประเทศ
(GDP) ของประเทศไทย
2. ผลิตภัณฑ์ในประเทศ
(GDP) ของประเทศญี่ปุ่น
3. ผลิตภัณฑ์ประชาชาติ
[GNP] ของประเทศไทย
4. ผลิตภัณฑ์ประชาชาติ
[GNP] ของประเทศญี่ปุ่น
80. ปัจจัยใดไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ
(GDP)
1. การบริโภคของครัวเรือน
2. การชําระหนี้ต่างประเทศ
3. การลงทุนของหน่วยธุรกิจ
4. การใช้จ่ายในการซื้อสินค้าและบริการของรัฐบาล
81. ข้อใดเป็นสมการที่แสดงมูลค่าของผลิตภัณฑ์ประชาชาติเบื้องต้น
1. GNE = C + 1 + G +
(x + M)
2. GNE = C + 1 + G -
(x - M)
3. GNE = C+ + G - (x
+ M)
4. GNE = C + + G + (x -
M)
82. รายการใดไม่ได้รวมอยู่ในประชาชาติของไทย
1. วิศวกรไทยได้รับค่าจ้างตอบแทนการควบคุมงานก่อสร้างในประเทศซาอุดิอาระเบียจากบริษัทรับเหมาของญี่ปุ่น
2. เจ้าของที่ดินบนเกาะภูเก็ตไดรับค่าเช่าจากการให้เช่าที่ดินเพื่อสร้างสนามกอล์ฟจากนักลงทุนชาวยุโรป
3. บริษัทในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยได้รับดอกเบี้ยจากการเปิดบัญชีเงินฝากในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
4. นักธุรกิจไทยจ่ายเงินส่วนหนึ่งจากผลกําไรเพื่ออุดหนุนพรรคการเมืองไทยที่สนับสนุนการลงทุนในประเทศจีน
83. ข้อใดคือผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในลําดับแรกจากการนํานโยบายกองทุนหมู่บ้านมาใช้ในประเทศไทย
1. มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศเพิ่มขึ้น
2. มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในภูมิภาคเพิ่มขึ้น
3. มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในจังหวัดเพิ่มขึ้น
4. มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในตําบลเพิ่มขึ้น
84. ถ้ารายได้ประชาชาติสูงขึ้น
ในขณะที่ประชากรในประเทศมีจํานวนเท่าเดิมข้อใดถูกต้อง
1. รายได้เฉลี่ยต่อบุคคลสูงขึ้น
และคุณภาพชีวิตของประชากรดีขึ้น
2. รายได้เฉลี่ยต่อบุคคลสูงขึ้น
และระดับการพัฒนาเศรษฐกิจดีขึ้น
3. รายได้เฉลี่ยต่อบุคคลสูงขึ้น
และผลิตภัณฑ์มวลรวมเพิ่มขึ้น
4. รายได้เฉลี่ยต่อบุคคลสูงขึ้น
และการกระจายรายได้ดีขึ้น
85. ถ้ารายได้ประชาชาติของประเทศ
ก. เท่ากับรายได้ประชาชาติของประเทศ ข. สวัสดิการ ทางสังคมของประเทศ ก.
จะสูงกว่าประเทศ ข. ในกรณีใด
1. จํานวนประชากรของประเทศ
ก. สูงกว่าประเทศ ข.
2. อัตราภาษีเงินได้ของประเทศ
ก. ต่ำกว่าประเทศ ข.
3. อัตราการว่างงานของประเทศ
ก. ต่ำกว่าประเทศ ข.
4. อายุขัยเฉลี่ยของประชากรในประเทศ
ก. สูงกว่าประเทศ ข.
86. ข้อใดจัดว่าเป็นจุดอ่อนของการใช้ตัวเลขรายได้เฉลี่ยต่อหัวเป็นเครื่องชี้วัดการพัฒนาเศรษฐกิจ
1. ไม่สามารถบอกกําลังผลิตของประเทศได้
2. ไม่สะท้อนลักษณะการกระจายรายได้ของประชาชน
3. ไม่สามารถเปรียบเทียบรายได้จากการผลิตภายในประเทศและจากต่างประเทศได้
4. ไม่สามารถเปรียบเทียบการพัฒนาเศรษฐกิจระหว่างประเทศที่จํานวนประชากรต่างกันได้
87. รายได้ประชาชาติ (National
Income) วัดอะไร
1. การกระจายรายได้ของประชากรในประเทศ
2. อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ
3. อัตราความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของประเทศ
4. มาตรฐานการครองชีพของประชาชนในประเทศ
88. การเปรียบเทียบฐานะทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศต่างๆ
ควใช้ตัวเลขประเภทใด
1. รายได้ประชาชาติที่แท้จริง
2. ผลิตภัณฑ์ประชาชาติต่อหัว
3. รายจ่ายประชาชาติในปีฐาน
4. ผลิตภัณฑ์ของประเทศเบื้องต้น
89. ตัวเลขในหน่วยเงินสกุลเดียวกันข้อใดใช้เปรียบเทียบฐานะเศรษฐกิจระหว่างประเทศ
1. ผลิตภัณฑ์ภายในประเทศ
2. ผลิตภัณฑ์ประชาชาติต่อหัว
3. ผลิตภัณฑ์ประชาชาติที่แท้จริง
4. ผลิตภัณฑ์ภายในประเทศที่แท้จริงต่อหัว
90. เครื่องมือที่เหมาะสมที่สุดที่ใช้วัดระดับการพัฒนาเศรษฐกิจของแต่ละประเทศคืออะไร
1. รายได้ต่อบุคคล
2. ดัชนีสังคม
3. ผลิตภัณฑ์ประชาชาติเบื้องต้น
4. ระดับราคาที่มีเสถียรภาพ
91. ถ้ารายได้ประชาชาติที่เป็นตัวเงินในปี
พ.ศ.2525 เท่ากับ 360,000 บาท และดัชนีราคาของปี พ.ศ.2525 เท่ากับ 120 โดยมีปี พ.ศ.2519 เป็นปีฐาน
รายได้ประชาชาติที่แท้จริงของปี พ.ศ.2525 จะเท่ากับเท่าใด
1. 288,000 บาท
2. 300,000 บาท
3. 360,000 บาท
4. 432,000 บาท
1. ความเสื่อมโทรมของสภาพแวดล้อมที่เกิดจากการผลิตและการบริโภค
2. ความสิ้นเปลืองของการใช้ปัจจัยการผลิต และทรัพยากรธรรมชาติ
3. ความเหลื่อมล้ำในการกระจายรายได้และทรัพย์สิน
4. การเปลี่ยนแปลงของราคาและจํานวนประชากร
93. ข้อใดแสดงถึงอัตราความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ
1. รายได้ประชาชาติที่แท้จริงเฉลี่ยต่อบุคคล
2. สมรรถภาพการผลิตของประเทศ
3. ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ
4. การกระจายรายได้ที่เท่าเทียมกัน
94. เพื่อให้เศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ
มาตรการการพัฒนาควรเป็นอย่างไร
1. เพิ่มรายได้ประชาชาติในอัตราที่ต่ำกว่าอัตราการเพิ่มของระดับราคา
2. เพิ่มรายได้ประชาชาติในอัตราที่สูงกว่าอัตราการเพิ่มของระดับราคา
3. เพิ่มรายได้ประชาชาติในอัตราที่ต่ำกว่าอัตราการจ้างงาน
4. เพิ่มรายได้ประชาชาติในอัตราที่สูงกว่าอัตราการจ้างงาน
95. ข้อความใดถูกต้องตามหลักเศรษฐศาสตร์
1. เมื่อระดับราคาและรายได้ประชาชาติเพิ่มขึ้น
ครัวเรือนจะมีอำนาจซื้อสูงขึ้นเสมอ
2. เมื่อระดับราคาและอํานาจซื้อของครัวเรือนเพิ่มขึ้น
รายได้ประชาชาติจะสูงขึ้นเสมอ
3. เมื่อระดับราคาและค่าครองชีพสูงขึ้น
ครัวเรือนจะมีระดับความเป็นอยู่สูงขึ้นเสมอ
4. เมื่อระดับราคาและรายได้ประชาชาติสูงขึ้น
ครัวเรือนจะมีระดับความเป็นอยู่สูงขึ้นเสมอ
96. ประเทศ ก. มีรายได้ประชาชาติมากกว่าประเทศ ข.
หมายความว่าอย่างไร
1. อัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ ก. สูงกว่าของประเทศ ข.
2. คนในประเทศ ก. มีความกินดีอยู่ดีสูงกว่าคนในประเทศ ข.
3. ประเทศ ก. ผลิตสินค้าและบริการได้มากกว่าประเทศ ข.
4. ประเทศ ก. มีรายได้ต่อหัวสูงกว่าประเทศ ข.
97. ข้อใดไม่ใช่หน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย
1. รับฝากเงินจากประชาชน
2. รักษาทุนสํารองระหว่างประเทศ
3. ควบคุมตรวจสอบสถาบันการเงิน
4. ออกธนบัตร
98. ข้อใดไม่ใช่หน้าที่ของธนาคารกลาง
1. ออกธนบัตร
2. รับฝากเงินจากประชาชน
3. ควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
4. ควบคุมปริมาณเงินที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ
99. ข้อใดไม่ใช่หน้าที่ของธนาคารแห่งประเทศไทย
1. เป็นนายธนาคารของธนาคารพาณิชย์
2. เป็นนายธนาคารของรัฐบาล
3. ออกและพิมพ์เหรียญกษาปณ์
4. ออกและพิมพ์ธนบัตร
100. หน้าที่ใดต่อไปนี้ไม่ใช่หน้าที่ของธนาคารกลาง
1. รับฝากเงินจากธนาคารพาณิชย์
2. รับฝากเงินจากรัฐบาล
3. รักษาทุนสํารองเงินตราของประเทศ
4. ผลิตเหรียญกษาปณ์ออกใช้หมุนเวียน
101. หน้าที่หลักที่สําคัญของธนาคารกลางของประเทศไทยได้แก่อะไร
1. ควบคุมอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
2. เป็นนายธนาคารของรัฐบาล
3. ควบคุมสถานการณ์ทางการเงินของประเทศ
4. เป็นผู้พิมพ์ธนบัตร
102. ธนาคารแห่งประเทศไทยทําหน้าที่อะไรในระบบเศรษฐกิจ
1. ขายพันธบัตรรัฐบาล
2. โอนเงินระหว่างธนาคารกับเอกชน
3. ควบคุมปริมาณเงินของประเทศ เพื่อให้มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
4. ดำเนินนโยบายทางด้านการเงิน ควบคุมอัตราดอกเบี้ยให้อยู่ในระดับต่ำ
103. การที่ธนาคารกลางควบคุมดูแลปริมาณเงินของประเทศให้เหมาะสมเป็นการทําหน้าที่ใด
1. การกํากับดูแลสถาบันการเงิน
2. การรักษาเสถียรภาพทางการเงิน
3. การบริหารทุนสํารองเงินตรา
4. การกระตุ้นความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
104. ธนาคารแห่งประเทศไทยรับผิดชอบกํากับดูแลสถาบันการเงินใด
1. ธนาคารอาคารสงเคราะห์
2. บรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย
3. บริษัทหลักทรัพย์
4. บริษัทประกันชีวิต
1. ธนาคารข้าว
2. บริษัทประกันภัย
3. บริษัทบัตรเครดิต
4. บริษัทเงินออม
106. ข้อใดไม่นับว่าเป็นสถาบันทางการเงินตามความหมายทางเศรษฐศาสตร์
1. บรรษัทเงินทุนและหลักทรัพย์
2. บริษัทธุรกิจการเช่าซื้อ
3. สหกรณ์การเกษตร
4. สถานธนานุเคราะห์
107. สถาบันการเงินในข้อใดไม่ได้ให้บริการทางการเงินแก่บุคคลทั่วไป
1. ธนาคารกลาง
2. ธนาคารอาคารสงเคราะห์
3. บริษัทหลักทรัพย์
4. บริษัทเครดิตฟองซิเออร์
108. สถาบันการเงินใดที่เป็นธนาคารพาณิชย์ของรัฐ
1. ธนาคารกรุงไทย
ธนาคารทหารไทย
2. ธนาคารกสิกรไทย
ธนาคารไทยพาณิชย์
3. ธนาคารนครหลวงไทย
ธนาคารกรุงไทย
4. ธนาคารทหารไทย
ธนาคารกสิกรไทย
109. สถาบันการเงินใดไม่ได้อยู่ภายใต้การกํากับดูแลของกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย
1. บริษัทบริหารสินทรัพย์
บริษัทรับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ
2. ธนาคารออมสิน
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนําเข้าแห่งประเทศไทย
3. บริษัทหลักทรัพย์
กองทุนสํารองเลี้ยงชีพ
4. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร
ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย
110. “ตลาดเงิน” หมายถึงข้อใด
1. ตลาดที่มีการระดมเงินทุนและการให้สินเชื่อระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี
2. ตลาดที่มีการระดมเงินออมและการให้สินเชื่อระยะสั้นไม่เกิน 1 ปี
3. ตลาดที่มีการระดมเงินออมระยะยาวและการให้สินเชื่อระยะยาวตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป
4. ตลาดที่มีการระดมเงินทุนระยะยาวและการให้สินเชื่อระยะยาวตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป
111. ข้อใดไม่ถูกต้อง
1. กองทุนประกันสังคม
กํากับดูแลโดยกระทรวงแรงงาน
2. โรงรับจํานํา
กํากับดูแลโดยกระทรวงการคลัง กระทรวงมหาดไทย
3. บริษัทประกันชีวิต
กํากับดูแลโดยกระทรวงการคลัง
สํานักงานคณะกรรมการกํากับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย
4. บริษัทเงินทุนและบริษัทเครดิตฟองซิเอร์
กํากับดูแลโดยธนาคารแห่งประเทศไทย
112. สหกรณ์ประเภทใดไม่ให้บริการเงินกู้แก่สมาชิก
1. สหกรณ์บริการ
2. สหกรณ์ร้านค้า
3. สหกรณ์การเกษตร
4. สหกรณ์ออมทรัพย์
113. สหกรณ์ประเภทใดเปิดกว้างให้ผู้ประกอบอาชีพใดก็ได้เข้าเป็นสมาชิก
1. สหกรณ์นิคม
2. สหกรณ์ร้านค้า
3. สหกรณ์บริการ
4. สหกรณ์ออมทรัพย์
114. สหกรณ์ประเภทใดที่ถือว่าเป็นต้นแบบสหกรณ์ทั่วโลก
1. สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน
2. สหกรณ์ร้านค้า
3. สหกรณ์บริการ
4. สหกรณ์ออมทรัพย์
115. สถาบันการเงินใดใช้หลักประชาธิปไตยควบคุมการบริหารงาน
1. ธนาคารพาณิชย์
2. บริษัทประกันชีวิต
3. กองทุนประกันสังคม
4. สหกรณ์ออมทรัพย์
116. ข้อใดไม่ใช่หลักการที่สําคัญของสหกรณ์
1. การให้การศึกษาฝึกอบรม และสารสนเทศแก่สมาชิก
2. การเป็นสมาชิกที่เปิดกว้างแก่บุคคลในกลุ่มอาชีพเดียวกัน
3. การมีส่วนร่วมทางเศรษฐกิจแก่สมาชิก
4. การควบคุมสมาชิกตามหลักประชาธิปไตย
117. ข้อความเกี่ยวกับสหกรณ์ร้านค้าในข้อใดไม่ถูกต้อง
1. สมาชิกทุกคนร่วมลงทุนเป็นเจ้าของสหกรณ์
2. ทําธุรกิจกับสมาชิกสหกรณ์และบุคคลทั่วไป
3. จําหน่ายสินค้าตามราคาตลาดเป็นเงินสดและเงินผ่อนโดยไม่มีดอกเบี้ย
4. สินค้าที่จําหน่ายประกอบด้วยสินค้าอุปโภคบริโภคหลากหลายชนิด
118. ข้อใดที่ถือว่าสหกรณ์เป็นประชาธิปไตย
1. เป็นธุรกิจที่เกิดขึ้นโดยความสมัครใจของสมาชิก
2. สมาชิกเป็นผู้ควบคุมการดําเนินงานและเป็นผู้ใช้บริการสหกรณ์
3. เป็นธุรกิจที่จัดตั้งขึ้นโดยมิได้มุ่งหวังกําไร
4. สมาชิกแต่ละคนมีสิทธิออกเสียงได้เพียงคนละเสียง
119. แนวคิดเกี่ยวกับสหกรณ์เริ่มขึ้นในประเทศใดเป็นประเทศแรก
1. อังกฤษ
2. เยอรมนี
3. สวีเดน
4. รัสเซีย
120. หลักการสหกรณ์กับปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมีความสอดคล้องกันในเรื่องใด
1. การบริหารจัดการทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
2. การทํากิจกรรมเศรษฐกิจเฉพาะกับสมาชิกหรือคนในชุมชนเดียวกัน
3. การร่วมมือร่วมใจกันในสังคมระดับท้องถิ่น
4. การยึดแนวทางการพึ่งพาตนเอง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น